วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ วิธีการอบไอน้ำผม

เคล็ดลับ วิธีการอบไอน้ำผม

1. อุปกรณ์ที่ใช้ในการอบไอน้ำ 
 - เครื่องอบไอน้ำ หมวกอบไอน้ำ 
(ถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งแนะนำให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดนำไปนึ่ง) 

- ครีมหมักผมสำหรับอบไอน้ำเลือกให้เหมาะกับสภาพเส้นผม 

2. ให้คุณสระผมให้สะอาดโดยไม่ต้องใช้ครีมนวด จากนั้นค่อยแบ่งเส้นผมช่อ ๆ แล้วค่อยหยิบครีบหมักผมใส่ตามช่อที่แบ่งไว้คค่อย ๆ ใส่ ในขณะที่ใส่ครีมหมักผมนั้นให้หนวดเส้นผมให้นิ่มที่สุดเป็นใช้ได้ค่ะ ในขณะที่นวดผมแล้วรู้สึกว่ามันแห้งจนเกินไปให้ใส่น้ำลงไปเล็กน้อยแล้วนวดต่อค่ะ เมื่อคุณนวดเส้นผมครบทั้งศีรษะแล้วให้นำผ้าขนหนูพับเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วรอบศีรษะโดยจะปิดแต่ช่วงหน้าผากและช่วงหูเท่านั้น จากนั้นก็ใช้เครื่องอบไอน้ำหรือหมวกอบไอน้ำ (กรณีที่ไม่มี ให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดนำไปนึ่งในน้ำร้อนแล้วเอามาคลุมเส้นผมทั้งศีรษะเพื่อให้ความร้อนกระจายได้ทั่วถึง) เมื่อทุกขั้นตอนเรียบร้อยให้อบไอน้ำเป็นเวลา 15-20 นาที เมื่อครบเวลาให้ล้างน้ำสะอาดออกโดยไม่ต้องสระผม เพียงแค่คุณใช้วิธีการอบไอน้ำผมนี้เป็นประจำอาทิตย์ล่ะ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ เส้นผมของคุณก็จะกลับมานุ่มสวย มีน้ำหนัก และไม่แตกปลายอีกต่อไปค่ะ 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก N3K.IN.TH

สูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้า

แก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ด้วย สูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้า

แก้ปัญหารูขุมขนกว้างด้วยสูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้าแบบธรรมชาติกันดีกว่าค่ะ สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังมองหาวิธีแก้ปัญหารูขุมขนกว้างอยู่ล่ะก็คุณคงจะได้สมใจกันแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าวันนี้เรานำ สูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้า ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้แต่การผสมผสานในแบบธรรมชาติล้วนๆ ที่จะช่วยให้ใบหน้าของคุณได้มีรูขุมขนที่เล็กอย่างสมใจกันเลยล่ะค่ะ ที่สำคัญการใช้วัตถุดิบใน สูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้า นี้ก็สุดแสนจะหาง่ายราคารึก็ไม่แพงมากนัก ฉะนั้นห้ามพลาดกับสูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้าที่จะทำให้ใบหน้าของคุณดูเนียนละเอียดมายิ่งขึ้นเผยผิวสวยได้อย่างเต็มที่ค่ะ 


สูตรกระชับรูขุมขนบนใบหน้า 

- มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ 
-ผสมโยเกิร์ต 
-น้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนชา 
พอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก womans

สูตรกระชับผิวเพิ่มความเต่งตึง

สูตรกระชับผิวเพิ่มความเต่งตึง

สูตรกระชับผิวเพิ่มความเต่งตึง
    หากคุณสังเกตผิวตัวเองอยู่บ่อยๆ  จะรู้ได้ทันทีเลยว่าผิวหน้าเริ่มเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา  โดยเฉพาะสาวๆ  ที่ทำงานหนักไม่มีเวลาดูแลผิว  หรือสาวๆ  ที่อายุย่างเข้าเลข 3 แต่ไม่ต้องกังวลไป  เพราะเรามีสูตรดีๆ  มาฝากค่ะ

ส่วนผสม
น้ำแข็งก้อน

วิธีทำ
    1.เริ่มแรกเราก็ล้างหน้าทำความสะอาดผิวหน้าของเราก่อน  จากนั้นก็ซับด้วยผ้าขนหนูให้แห้ง  แล้วนำน้ำแข็งที่เตรียมไว้มาลูบให้ทั่วหน้าทำไปจนกว่าน้ำแข็งจะละลาย
    2.เมื่อน้ำแข็งละลายหมดก้อนแล้ว  จากนั้นเราก็ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ  อีกครั้งหนึ่ง  แล้วซับหน้าให้แห้ง  เมื่อจับผิวหน้าดูแล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าผิวตึงกระชับขึ้นทันที
   3.สูตรนี้เป็นสูตรที่ทำง่ายไม่ยุ่งยาก  สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่เกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายใดๆ  แก่ผิวหน้า  เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนยาน  หากทำเป็นประจำ  ผิวหน้าจะกระชับและเต่งตึงอย่างเห็นได้ชัด.

เคล็ดลับลดรอย กระ

เคล็ดลับลดรอย กระ


1. ลดการอยู่กับแสงแดดให้มากเท่าที่จะทำได้
       ก็คืออย่าสัมผัสแสงแดดโดยไม่จำเป็นค่ะ แม้ว่าแสงแดดจะเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวันก็ตาม แต่เชื่อเถอะค่ะว่า สาว ๆ สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ แค่ไม่ออกจากบ้านหรือยืนกลางแดดเวลานาน ๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้ว
        2. ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 +
      ไม่ว่าจะเผชิญแสงแดดน้อยหรือมากก็ตาม อย่าไว้ใจรังสียูวีที่แผ่ออกมาอยู่รอบ ๆ ตัวเรานะคะ

         3
. หลังจากสคับใบหน้า 
      ใช้สูตรพอกหน้าผลัดเซลล์ผิวต่าง ๆ หรือการใช้ AHA ไม่ควรออกแดดเป็นอันขาด ไม่ว่าจะทาครีมกันแดดป้องกันแล้วก็ตาม เพราะสภาพผิวจะบางและไวต่อแดดมาก ดังนั้น ถ้าหากจะสคับหน้า พอกหน้า ผลัดเซลล์ผิว ขอให้เลือกทำในวันก่อนวันหยุดที่คุณไม่ได้ออกจากบ้านนะค่ะ
         4. ลดกระด้วยหัวไชเท้า
    ล้างหัวไชเท้าให้สะอาด ยิ่งสดยิ่งดี จากนั้นนำมาหั่นบาง ๆ ถูบนใบหน้าบริเวณที่มีกระวันละ 5-10 นาทีแล้วล้างออก แล้วทาครีมบำรุงตามปกติ จะช่วยลดกระให้จางลงจนแทบมองไม่เห็นได้ แต่ต้องใช้เวลานานสักหน่อยนะคะ ดังนั้นทางที่ดี เพื่อน ควรซื้อหัวไชเท้าตุนไว้อย่าให้ขาด แล้วใช้สูตรนี้ไปเรื่อย ๆ ทุกวันค่ะ
        5. สูตรมะเขือเทศกับมะนาว
     นำมะเขือเทศ 1 ผลมาบดแล้วบีบน้ำมะนาวลงไป 6-7 หยด จากนั้นทาเฉพาะบริเวณที่เป็นกระเท่านั้น เพราะจะแสบหน่อยค่ะ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำทุกวันกระจะดูจางลง
         6. สูตรน้ำมันมะพร้าวและน้ำมะนาว 
     นำน้ำมันมะพร้าวมาผสมกับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากัน เช่นจะแต้ม 4-5 จุดก็ใช้เพียงอย่างละ 4-5 หยดก็เพียงพอ จากนั้นนำไปแต้มบริเวณที่มีกระ ทำทุกวันไปเรื่อย ๆ กระจะดูจางลง


สูตรสมุนไพรสดพอกหน้า ถั่วเหลือง


สูตรสมุนไพรสดพอกหน้า ถั่วเหลือง
ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ 100%


สำหรับผู้หญิงวัยทองและวัยเริ่มหมดประจำเดือน สิ่งที่ทำให้พวกเธอต้องวิตกกังวลมากที่สุดก็คือ การเข้าสู่วัยชราและมีผิวพรรณที่เหี่ยวย่น มีริ้วรอย ไม่สวยใสเต่งตีงเหมือนเดิมอีกแล้ว ทั้งกระดูกที่เคยแข็งแรงก็เริ่มผุกร่อน แบบนี้ทนไม่ได้ แต่ไม่ต้องตกใจและกังวลใจมากเกินไปจนเสียสุขภาพจิต เพราะมีตัวช่วยที่สามารถช่วยคุณได้นั่นก็คือ "ถั่วเหลือง"

เนื่องจากถั่วเหลืองมีสารคล้ายฮอร์โมนเพศที่เรียกว่า "ไฟโตเอสโตรเจน" สารชนิดนี้จะช่วยชะลอความสวยของคุณให้ยาวนานขึ้นและช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ ที่เกิดกับผู้หญิงวัยทองได้เป็นอย่างดี หรือแม้คุณไม่ได้เป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยทอง ถั่วเหลืองก็สามารถที่จะช่วยคงความหนุ่มสาวและความแข็งแรงให้กับคุณได้อย่างดี นอกจากไฟโตเอสโตรเจนแล้วถั่วเหลืองยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญในการชะลอความแก่ของร่างกายอีกนั่นคือ แคลเซียม โปรตีน วิตามินอี กรดไฟติกและเส้นใยอาหาร

► ส่วนผสมของสมุนไพรสดพอกหน้า ถั่วเหลือง
  • ถั่วเหลือง     3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำอุ่น     2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำผึ้ง     1 ช้อนโต๊ะ
► วิธีผสมสมุนไพรสดพอกหน้า พอกตัว ถั่วเหลือง
นำถั่วเหลืองมาแช่น้ำจนนิ่ม จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่นน้ำผลไม้ เติมน้ำอุ่นและน้ำผึ้งลงไป จากนั้นปั่นให้เข้ากันจนละเอียดเนียนแล้วก็ใช้การได้ เอามาพอกหน้า พอกตัว กันได้ทันที

► วิธีใช้สมุนไพรสดพอกหน้า พอกตัว ถั่วเหลือง
  1. ก่อนอื่นให้ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำธรรมดาทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องใช้สบู่ใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วซับผิวหน้าให้แห้ง รอจนใบหน้าแห้งดีแล้ว
  2. นำส่วนผสมสมุนไพรสดพอกหน้า พอกตัว ถั่วเหลือง ที่ได้มาพอกลงบนใบหน้า เว้นรอบดวงตา เว้นรอบริมฝีปาก พอกให้ทั่วใบหน้าพอกให้ทั่วใบหน้าจากนั้นให้พอกไปที่คาง ลำคอโดยรอบ รวมทั้งช่วงไหล่ แขน และใต้ลำคอลงมาถึงทรวงอกด้วยแล้วปล่อยทึ้งไว้เฉย ๆ ให้ตัวยาสมุนไพรแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน แทรกเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อทำหน้าที่บำรุงรักษาผิวพรรณได้อย่างเต็มที่ เป็นเวลาประมาณ 10-15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซับผิวหน้าให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง เพียงเท่านี้เอง และควรพอกหน้าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก่อนนอน
  3. ทุกครั้งที่ซับผิวหน้านั้นมีวิธีซับนิดหน่อยว่าให้ซับหน้าเบา ๆ ไม่ใช่เช็ดถูลากเอาผ้าขนหนูดึงให้แก้มหย่อนยานลงมา คางร่นลงมา หากทำหลาย ๆ ครั้ง จะเกิดผลของอาการผิวหนังหย่อนลงมาอย่างน่าเกลียดในที่สุด นี่เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์น้ำมันรำข้าว

ประโยชน์น้ำมันรำข้าว
คงไม่มีคนรักษ์สุขภาพคนไหนที่ไม่รู้จักข้าวกล้อง  ซึ่งเป็นข้าวที่มีวิตามีนและสารอาหารหลากหลายชนิด  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จัก  น้ำมันรำข้าว(Rice  Bran Oil) ที่ผลิตจากรำข้าวและจมูก  อันเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดในเมล็ดข้าวกล้อง  ลองมาดูคุณค่าทั้ง 9 ประการ  ที่คุณจะต้องทึ่งด้วยนึกไม่ถึงว่าจะได้จากน้ำมันรำข้าวในแต่ละขวด
1.วิตามินอี กลุ่มโทโคฟีรอล (Tocopherol) และกลุ่มโทโคไตรอีนอล (Tocotrienol) จะช่วยต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง  และช่วยลดระดับไขมันในเลือด  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดโดยเฉพาะโทโคไตรอีนอล  สามารถลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด  และลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
2.โอรีซานอล(Oryzanol)  สารธรรมชาติที่พบในน้ำมันรำข้าวเท่านั้น  ไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น  มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าวิตามินอีถึง 6 เท่า  และยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (LDL-C) ในเลือด  ลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลในตัง  รวมถึงช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ (Hot Flashes) ในสตรีวัยทอง
3.ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol) มีงานวิจัยแสดงถึงประโยชน์ของไฟโตสเตอรอลอย่างแพร่หลายในการนำไปใช้มนการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูง  ช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL-C) โดยที่ไม่ลดคอเลสเตอรอลตัวดี (HDL-C) ยิ่งไปกว่านั้นไฟโตสเตอรอลยังช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซล์เนื้องอกและช่วยทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม  แถมยังสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย  ซึ่งน้ำมันรำข้าวจะมีไฟโตสเตอรอลสูงมาก  ทิ้งห่างนำมันพืชชนิดอื่นหลายเท่าตัว
4.มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว หรือ MUFA (Monounsaturated Fatty Acid)สูง  ช่วยลด LDL-C ซึ่งทำให้เกิดอาการตีบและอุดตันในหลอดเลือด  และเพิ่มหรือคงระดับ KDL-C ให้แก่ร่างกาย
5.มีกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acid) คือ กรดไลโนเลอิด (Linoieic Acid) และกรดไลโนเลนิค (Linolenic  Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้  ต้องได้รับจากอาหารที่ได้รับประทานเท่านั้น
6.มีสัดส่วนของกรดไขมันที่สมดุลและเหมาะสมต่อการบริโภค  ใกล้เคียงที่สุดกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) และโครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติของประเทศของสหรัฐอเมริกา (NCEP) เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ
7.ค่ากรดไขมันทรานส์ เท่ากับ 0 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค  จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาการเพิ่ม LDL – C ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
8.มีจุดเกิดควันสูง (High Smoke  Point) คือทนความร้อนได้ดี   สามารถนำไปทอดกับอาหาร  หรือผัดไฟแดงได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องกังวลเรื่องควันน้ำมัน  ซึ่งมีงานวิจัยชี้ว่าอาจเป็นสาเหตุที่มำให้เกิดโรคมะเร็งปอด
9.ปลอดจาการดัดแปลงทางพันธุกรรม หรือ Non – GMO เพราะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ให้การรับรองว่าข้าวไทยปลอด GMO
ที่มา นิตยาสาร ชีวจิต

ประโยชน์ของน้ำข้าวกล้อง

ประโยชน์ของน้ำข้าวกล้อง

        สำหรับผู้ที่ยังไม่อยากแก่  และไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์  ว่าการดื่มน้ำข้าวกล้องนอกจากจะช่วยซะลออาการทั้ง 2 อย่างได้  และขอคอนเฟิร์มว่า  น้ำข้าวกล้องงอกดีกว่าเครื่องดื่มบำรุงกำลัง  โดยมีงานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญจากกรมการข้าวยืนยันชัดเจนว่า  ข้าวกล้องงอกมีสารต้านอนุมูลอิสระกลายชนิด  ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง  ช่วยระบบย่อยอาหาร  ชะลอการเสื่อมาภาพของเซลล์  ไม่ให้แก่ก่อนวัย  ยิ่งถ้าทีเวลาทำกินเองในครอบครัวก็แสนจะง่ายดาย
                ใครๆ  ที่สนใจข้าวกล้องอก  จะต้องรู้จัก  สาร “กาบ้า” เป็นอย่างดี  สารนี้มีสรรพคุณบำรุงประสาทและควบคุมโรคความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ  น.ส.อรพิน  วัฒเนสก์  รักษาการผู้เชี่ยวชาญด้านปรับปรุงรันธุ์ข้าว 9 เปิดเผยว่า “ในน้ำข้าวกล้องงอก  120 มิลลิลิตร  มีสารอาหารมากมาย  ได้แก่  โปรตีน 0.49 กรัม  ไขมัน 2.05 กรัม  ความซื้น  88.21 กรัม  เถ้า (สารอาหารจำพวกหนึ่งช่วยย่อยอาหาร)  0.06 กรัม  คาร์โบไฮเดรต 1.42 กรัม  และกาบ้า 4.62 กรัม”  โดยสรรพคุณของ “กาบ้า”  จะช่วยแก้โรคอัลไซเมอร์  บำรุงระบบประสาท  ควบคุมความดันโลหิตให่อยู่ในระดับปกติ  และยังช่วยชะลอความชราและฟื้นฟูสภาพผิวได้ดี  นอกจากนี้ข้าวกล้องงอก  ยังมี  “เพอร์ ริคาบ”  คือ  เยื่อหุ้มเมล็ดข้าว  ที่เห็นเป็นสีน้ำตาล  แดง  มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากอีกด้วย
หากรับประทานน้ำข้าวกล้องงอกเป็นประจำทุกวัน  จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของร่างกายดีขึ้น  และสามารถดูดซึมอาหารเข้าร่างกายได้เป้นอย่างดี
จะว่าไปแล้ว  ลองทบทวนดูจะเห็นได้ว่าคนในสมัยโบราณไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย  ทั้งนี้เพราะกินข้าวไม่ขัดสี  และยังนำน้ำข้าวไปเลี้ยงลูก  ทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ดีและเป็นของหาง่าย  ทำได้เองไม่ต้องซื้อหา  ผิดกับสมัยนี้ที่มีเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย  บำรุงสมองให้เลือกอย่างมากมาย  เชิญชวนให้เสียเงินตราต่างประเทศ  อย่ากระนั้นเลยครับมากินข้าวกล้องและข้าวกล้องงอกกันดีกว่า
ทีมา : นิตยาสาร BE Well

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

6 อาหารบำรุงสมองคนทำงาน

เพราะสมองเราทำงานหนักทุกวัน เราจึงต้องบำรุงรักษาสมองของเราให้ว่องไว ฉลาดปราดเปรื่องไปนาน ๆ ใครที่เริ่มหลง ๆ ลืม ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังหนุ่มยังสาว ต้องรีบดูแลสมองของคุณโดยด่วน ส่วนวิธีการก็ไม่ยากเย็นแต่อย่างใด เพียงเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง ดังต่อไปนี้

1. สร้างเซลส์สมองด้วยโอเมก้า-
เซลส์สมองของเราส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยไขมันจำเป็นที่เรียกว่า โอเมก้า-3 ช่วยในการสร้างเสริมและซ่อมแซมเซลส์สมอง โดยเราสามารถหาโอเมก้า-3 ได้จากอาหารต่อไปนี้
แซลมอน
ปลาทูน่า
น้ำมันแฟลกซีด
น้ำมันคาโนลา
วอลนัท
จมูกข้าวสาลี
ไข่

2. ปกป้องสมองด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
เมื่อเราอายุมากขึ้น อนุมูลอิสระในกระแสเลือดจะทำลายเซลส์สมองของเรา ถ้าเราไม่ต่อสู้กับมัน ความจำของเราก็จะค่อย ๆ เสื่อมลงไปตามกาลเวลา เราจึงต้องกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวก
บลูเบอร์รี่และผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่
บร็อคโคลี่
แครอท
กระเทียม
องุ่นแดง
ปวยเล้ง
ถั่วเหลือง
ชา
มะเขือเทศ
โฮลเกรน

3. เพิ่มพลังสมองด้วยโปรตีนและไทโรซีน
สมองของเราไม่ได้มีแค่เซลส์ประสาท แต่ยังมีสารสื่อประสาททำหน้าที่เหมือนแมสเซนเจอร์ส่งสัญญาณจากเซลล์ประสาทเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง หากเรามีสารสื่อประสาทน้อยเกินไป สมองเราก็จะทำงานได้ไม่ดี

เท่าที่ควร เรามาเพิ่มสารสื่อประสาทด้วยการกินอาหารต่อไปนี้กันดีกว่า
ผลิตภัณฑ์จากนม
ไข่
อาหารทะเล
ถั่วเหลือง

4. หล่อเลี้ยงสมองด้วยน้ำ
น้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตจริง ๆ ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ต้องการน้ำ แต่รวมถึงสมองของเราด้วย เพราะการขาดน้ำมีผลต่อสมองทำให้ความสามารถในการจดจำลดลง ถ้าอยากสมองดีเราต้องดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตร หรือ 6 – 8 แก้วต่อวัน

5. บำรุงสมองด้วยวิตามินและเกลือแร่
ยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง อาทิ
วิตามินบี 6
วิตามินบี 12
วิตามินซี
ธาตุเหล็ก
แคลเซียม
วิตามินและเกลือแร่เหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารที่เรากินเข้าไปอยู่แล้ว แต่ก็สามารถเสริมได้ด้วยการกินวิตามินรวมพร้อมอาหาร ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดี ทำให้ร่างกายและสมองนำวิตามินเหล่านี้ไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น

6. ควบคุมการทำงานของสมองด้วยไฟเบอร์
ไฟเบอร์มีความสำคัญต่อสมองของเราอย่างมาก เพราะไฟเบอร์ช่วยในการทำงานของสมอง ควบคุมการดูดซึมน้ำตาลให้อยู่นระดับที่สม่ำเสมอ และในปริมาณที่เหมาะสม อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่จะช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดของเราได้ดี ได้แก่
ผลไม้แห้ง เช่น แอพริคอต ลูกพรุน ลูกเกด
ผัก เช่น บล็อคโคลี่ ถั่วเขียว ปวยเล้ง
ถั่วต่าง ๆ
อัลมอนด์ และแฟลกซ์ซีด
ผลไม้ เช่น อโวคาโด กีวี ส้ม ลูกแพร์ แอปเปิล
ธัญพืชเต็มเมล็ด เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวกล้อง

วิตามินและเกลือแร่เหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารที่เรากินเข้าไปอยู่แล้ว แต่ก็สามารถเสริมได้ด้วยการกินวิตามินรวมพร้อมอาหาร ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดี ทำให้ร่างกายและสมองนำวิตามินเหล่านี้ไปใช้ได้ดียิ่งขึ้น


วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

สูตรน้ำสมุนไพร 3 สหาย



สูตรน้ำสมุนไพร 3 สหาย
รวมกันเป็นยา ...แต่หอมอร่อยชื่นใจ 

สมุนไพรมีอยู่มากมายหลายตำรับ แต่ที่ตรงคำกล่าวที่ว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ" ยาสมุนไพรสูตรตำรับเดียว ที่ใช้ป้องกันได้ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหลอดเลือดสมองตีบนั้นมีอยู่ไม่กี่ตำรับ 

ในที่นี้ขอแนะนำตำรับหนึ่งที่มีผู้ใช้ได้ผล และบอกต่อกันมา คือตำรับกระเจี๊ยบแดง พุทราจีน และเตยหอม

* สมุนไพรชนิดแรก สีแดงและรสเปรี้ยวจี๊ดของกลีบเลี้ยงผลกระเจี๊ยบแดง นอกจากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับนิ่วในไต และในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว ยังมีฤทธิ์ลดไขมันในเลือด และรักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งลดความเหนียวข้นของเลือดลง ทำให้การไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายดีขึ้น ซึ่งก็ช่วยรักษาเส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้ด้วย

* สมุนไพรชนิดที่สอง รสหวาน มัน ฝาด ของผลพุทราจีนสุก ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท แก้โรคนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ ยังอุดมด้วย วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งช่วยบำรุงสายตา และเพิ่มภูมิต้านทานโรค ที่สำคัญผลพุทราช่วยลดผลข้างเคียงจากกรดซิตริกของกระเจี๊ยบ

ในขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมฤทธิ์ป้องหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และเส้นเลือดสมองตีบ

* สมุนไพรชนิดที่สาม คือ รสหวานเย็นของใบเตย ช่วยบำรุงหัวใจ ชูกำลัง ลดพิษไข้ ดับพิษร้อนภายใน

วิธีทำ
------
ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้ง 30 กรัม เนื้อพุทราแห้งไม่มีเมล็ด 30 กรัม ใบเตยแห้ง 5 กรัม

นำมาล้างน้ำให้สะอาด เติมน้ำพอประมาณแล้วแต่ชอบข้นมากก็ใส่น้ำน้อย อยากได้ข้นน้อยก็ใส่น้ำมาก แล้วเคี่ยวไฟอ่อนๆ ราว 10-15 นาที จะเติมเกลือและน้ำตาล (ไม่ฟอกขาว)เล็กน้อยก็ได้ เพื่อให้ได้รสชาติดีขึ้น

** แต่สำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยที่ควบคุมโซเดียมไม่ควรเติมอะไรเพิ่ม

ดื่มขณะอุ่น วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น หลังอาหาร ที่เหลือเก็บใส่ภาชนะมีฝาปิดแช่ตู้เย็นได้ แล้วนำมาอุ่นเพื่อดื่มในมื้อต่อไป

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคเส้นเลือดสมองตีบเรื้อรัง สามารถดื่มน้ำสมุนไพรสูตรนี้ได้ทุกวัน ช่วยเสริมการบำบัดรักษาที่แต่ละคนดูแลสุขภาพตนเองอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น

ดื่มเป็นประจำทำให้สมองแจ่มใส หัวใจสดชื่นไปอีกนาน สำหรับผู้ที่ใช้สมองมาก เช่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือผู้บริหาร สามารถดื่มสมุนไพรสูตรนี้แทนซุปไก่สกัด หรือผลไม้สกัดราคาแพงๆ ได้เช่นกัน

นอกจากจะได้ยาบำรุงสมองที่มีสรรพคุณดีกว่าแล้ว ยังได้ยาราคาถูกกว่าอีกด้วย


ที่มา : มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

สมุนไพรไทยแก้โรคภูมิแพ้และหอบหืดได้ผลดีนัก(สูตร1)


สมุนไพรไทยแก้โรคภูมิแพ้และหอบหืดได้ผลดีนัก(สูตร1)

ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย จึงทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เพราะในวันหนึ่งๆ มีทั้งอากาศหนาว,ร้อน,ฝนตก
ทำให้เป็นภูมิแพ้ บางท่านเป็นหนักก็จะมีอาการหอบหืด
ดิฉันมีสูตรยาสมุนไพรมาฝาก (ได้ลองกับตัวเองแล้ว)
ได้ผลดีมากๆ เพราะเวลาเป็นทรมานมากๆ จะหายใจลำบาก เวลานอนก็นอนไม่ได้เพราะหายใจไม่สะดวก
สมุนไพรที่ใช้มีดังนี้
1. หอมแดง 1 หัว (ขนาดเท่าหัวแม่มือผู้ป่วย)
2. กระเทียม (ขนาดเท่าหัวแม่มือผู้ป่วย)
3. ขิง เหมือนกับข้อ1-2
4. มะนาว 3-4 ลูก
5. น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ
หอมแดง, กระเทียม, ขิง ที่เอาเปลือกออกแล้ว โขลกรวมกัน
(ถ้ามีเครื่องปั่นก็ใช้วิธีปั่น)ให้ละเอียด
มะนาวบีบเอาน้ำ นำมาผสมรวมกันกับหอมแดง กระเทียม ขิง และน้ำผึ้ง
ป.ล. ควรทำทีละมากๆหน่อย กะปริมาณเพราะสูตรข้างบนนี้เฉพาะดื่มครั้งเดียว ถ้าทำมากเก็บแช่ตู้เย็นไว้ดื่มทุกวันดื่มเวลาไหนก็ได้วันละกี่ครั้งก็ได้ เพราะสมุนไพรมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ
ตอนแรกดิฉันดื่มได้ประมาณ 1 เดือน อาการดีขึ้นมาก จากที่ต้องกินยา พ่นยา เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้ยาแล้ว
ถึงจะหายถ้านึกได้ก็จะดื่มเสมอๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://ict.in.th/21371

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วิธีรักษาโรคหอบหืดด้วยสมุนไพร (สูตร2)
ช่วยบอกต่อด้วยนะครับสำคัญมาก เมื่อก่อนลูกชายผมเป็นหอบ ทรมาณมาก ก็ได้วิธีรักษามาจากคุณแม่(แม่ยุพิน ใจทัน) ตอนนี้ลูกชายผมหายขาดแล้ว
วิธีรักษา
1.ใบกระเพราแดง
2.น้ำผึ้งแท้
3.เกลือ
4.เหล้าขาว
วิธีใช้
นำใบกระเพราะแดงผสมกับน้ำผึ้งใส่ในครกตำให้เข้ากันแล้วเอาเกลือใส่(นิดเดียว)กับเหล้าขาวนิดหน่อยตำให้เข้ากัน
คั้นเอาน้ำไปให้คนที่เป็นหอบหืดกิน กินทุกวันไม่นานก็หายครับ
ลองดูนะ
ถ้าหายแล้วก็ขอบคุณด้วยนะครับ
ก็ขอยกความดีนี้ให้แม่ยุพิน ใจทันด้วยครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://khum.co/board-story/t68069

สูตรรักษาโรคริดสีดวงทวาร...แนวชีวจิต


สูตรรักษาโรคริดสีดวงทวาร...แนวชีวจิต

กับสาเหตุหลักการเกิดโรคริดสีดวง



แม้โรคริดสีดวงทวารหนักจะน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรง และอาการมักจะดีขึ้นเอง หากดูแลรักษาตนเองอย่างถูกต้อง ซึ่งโรคนี้เกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากพฤติกรรมการกิน การขับถ่าย และการใช้ชีวิตประจำวันผิดๆ

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มีปัญหาโรคริดสีดวงทวารไว้ดังนี้

-ปรับอาหารด้วยสูตรชีวจิต (ข้าวกล้อง50 เปอร์เซ็นต์ ผัก 25 เปอร์เซ็นต์ โปรตีนจากพืช 15 เปอร์เซ็นต์ เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์) และกินสับปะรดอย่างน้อย 1 เสี้ยวถึงครึ่งผลทุกวัน รวมถึงคั้นน้ำสับปะรดดื่มวันละแก้ว (อย่าใช้น้ำสับปะรดกระป๋อง) ทั้งกินทั้งดื่มประมาณ 1 อาทิตย์ สับปะรดจะช่วยในการย่อยอาหาร และช่วยให้การขับถ่ายสะดวกดีขึ้น

-น้ำส้มสายชูแอ๊ปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำสุกเล็กน้อย (4 ช้อนโต๊ะ) แล้วจิบตลอดวัน ช่วยแก้อาการคันและแสบของริดสีดวงได้

-ทำดีท็อกซ์ตอนเช้า ควรใช้น้ำมันหล่อลื่นหรือครีมแก้ริดสีดวงทาที่ปลายสายยางสำหรับทำดีท็อกซ์จนเยิ้ม อย่าให้ปลายสายฝืดเป็นอันขาด ต้องหล่อลื่นให้มากๆ

-อย่ากินเค็ม กินเค็มทำให้อ้วน และทำให้น้ำอยู่ในตัวมาก น้ำมากทำให้เส้นเลือดพอง ริดสีดวงก็เลยพองโตตามไปด้ว

-สร้างสุขนิสัยที่ดีในการขับถ่าย ได้แก่ ควรถ่ายให้เป็นเวลา ไม่นั่งถ่ายหรือเบ่งอยู่นานๆ และเมื่อปวดก็อย่าอั้นไว้ ควรถ่ายทันที เพื่อป้องกันการเกิดริดสีดว

-หลังอุจจาระควรใช้น้ำล้าง และหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษเช็ด

-ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก เช่น โซฟาหรือตู้ เพราะจะก่อให้เกิดแรงกดที่ก้น ทำให้คนที่เป็นริดสีดวงอยู่แล้วอาการกำเริบได้เช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

สาเหตุหลักการเกิดโรคริดสีดวง

โรคริดสีดวงคือโรคที่เกิดจากโป่งพองของหลอดเลือดบริเวณรูทรวารหนัก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดเกิดการโป่งพองนั้นอาจเกิดได้จาก การเบ่งอุจจาระ, ท้องผูก, ท้องเสีย, อาหารที่รับประทาน, อายุ, การเช็ดที่อาจรุนแรงเกินไป, โรคทางลำไส้บางชนิด, หรือ ความดันโลหิตสูง ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวารขึ้นได้
การเบ่งอุจจาระ : การเบ่งอุจจาระทำให้เกิดการเกร็งตัวของหลอดเลือด บริเวณรูทวาร ซึ่งในระยะยาวการเบ่งอุจจาระจำทำให้หลอดเลือดบริเวณทวารหนักค่อยๆเสื่อมลงและเกิดลักษณะปูดนูนขึ้น

ท้องผูก : อาการท้องผูกเป็นสาเหตุหลักอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวง เพราะโดยธรรมชาติของคนเรา เมื่อมีอาการท้องผูก ก็จะต้องเบ่งเพื่อขับถ่ายอุจจาระ ดังนั้นหากคุณเกิดอาการท้องผูกให้ลองใช้เทคนิคต่อไปนี้
หายใจเข้าลึกๆ : การหายใจเข้าลึกๆจะสามารถช่วยให้เกิดการเคลื่อไหวในบริเวณลำไส้ ซึ่งช่วยในการขับถ่าย
อย่าการกลั้นหายใจ : คนท้องผูกส่วนมากมักจะกลั้นหายใจโดยอาจไม่รู้ตัวซึ่งส่งผลทำให้เกิดความดันโลหิตสูงขึ้นในหลอดเลือดบริเวณทวารหนัก และทำให้เกิดเป็นโรคริดสีดวงได้ง่ายขึ้น
อย่านั่งส้วมนานเกิด 5 นาที : ถ้าคุณไม่สามารถ่ายได้ภายใน 5 นาที ก็อย่าพยายามฝืนมัน ให้ลองออกจากห้องน้ำไปทำอะไรเสียก่อน และค่อยกลับมาลองใหม่

ท้องเสีย : สาเหตุที่ทำให้ท้องเสียมีหลายสาเหตุ เช่น การทานอาหารที่มีรสจัดเกินไป, การติดเชื้อ, แพ้นมวัว แต่ไม่ว่าคุณจะท้องเสียด้วยสาเหตุใด เมื่อคุณขับถ่ายบ่อยครั้ง หูรูดบริเวณทวารหนักต้องทำงานมากขึ้น และหากคุณท้องเสียบ่อยครั้ง คุณก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคริดสีดวงได้มากขึ้น


ทานอาหารที่ไม่มีกากใย : อาหารที่คุณรับประทานเป็นประจำมีผลต่อโอกาสการเกิดของโรคริดสีดวง อาหารที่มีการใยสูง เช่น ผักและผลไม้ สามารถช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค หรือการทานเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์เป็นประจำสามารถเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคริดสีดวงทางอ้อมได้ เนื่องจากเครื่องดืมที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะไปดึงน้ำออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำ จะทำให้เกิดการท้องผูกและเกิดโรคริดสีดวงได้ง่ายขึ้น

การทำความสะอาด : การเช็ดที่รุนแรงหรือถี่เกินไปบริเวณทวารหนัก จะทำให้เกิดการเสียดสี ร่างกายจะตอบสนองด้วยการพยายามสร้างเกราะป้องกันสิ่งที่มากระทบกระทั่งมัน จึงทำให้คุณมีโอกาสเป็นริดสีดวงได้มากขึ้น



อายุที่มากขึ้น : ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น โรคริดสีดวงเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อม ของหลอดเลือดบริเวณทวารหนัก เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น เนื้อเยื่อและกระดูกของเราจะค่อยๆเสื่อมลง ลำไส้อาจทำได้ไม่ดีและทำให้มีโอกาสทำให้ท้องผูกและเกิดโรคริดสีดวงได้มากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://sukapapdeedee.com/disease/intestine-disease/hemroids/1.html

เหยียบกะลา ธรรมชาติบำบัด รักษาได้ทุกโรค

การเหยียบกะลา เป็นศาสตร์หนึ่งที่ใช้ธรรมชาติบำบัด และรักษาโรคได้หลายโรค บางคนมองข้ามไปคิดว่าจะต้องไปนวดสปา นวดจับเส้น หรือว่าได้รับอาหารดี ๆ หรือจะเป็นอาหารเสริมต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นก็ถือว่าดีเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเราจะทำได้ไหมที่จะต้องไปนวดสปา ซึ่งราคาค่อนข้างแพง หรืออาจจะไม่มีเวลาไปนวดจับเส้น หรือบางคนอาจจะไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารเสริมราคาแพง ๆ มาบำรุงร่างกาย แต่การเหยียบกะลานั้น สามารถทำได้ทุก ๆ วัน เพียงแค่ใช้เวลากับมันสักเล็กน้อย เราก็จะได้สุขภาพเ้ท้า สุขภาพกายที่ดีกลับคืนมาโดยที่ไม่จำเป็นต้องเสียเงินทองเลย

การเหยียบกะลา สามารถฟื้นฟูผู้ป่วยเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งมีรายงานจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตากูก จังหวัดสุรินทร์ จากผู้ป่วยที่เคยทำแผลที่เท้า หลังจากที่ใช้ให้ผู้ป่วยเหยียบกะลา ก็จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น ลดการทำแผลได้มาก 75 % และลดอาการชาไปเรื่อย ๆ 25 %
กะลาที่ใช้ควรเลือกกะลาที่มีก้นแหลมพอสมควรเพื่อเท้าเราจะได้สัมผัสกับส่วนที่แหลม ทำให้ช่วยผ่อนคลายจุดต่าง ๆ บริเวณอุ้งเท้ากะลาควรเลือกสถานที่ในการวางให้เหมาะสม กะลาควรวางในที่ที่แน่น ไม่คลอนแคลน ควรวางบนพื้นดินทราย หรือเย็บติดกับพื้นพรม ไม่ควรวางบนพื้นปูน หรือพื้นที่แข็ง เพราะจะทำให้ลื่นได้ง่ายอาจทำให้เกิดอันตรายในการเหยียบได้สำหรับการขึ้นไปเหยียบกะลานั้น ควรหาอุปกรณ์ในการยึดจับให้มั่น เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายในระหว่างการเหยียบกะลา อาจจะเป็นราวไม้ หรือว่าวางกะลาไว้ใกล้ ๆ โต๊ะ ใกล้ ๆ ผนังกำแพงบ้านไว้สำหรับจับ เพื่อป้องกันการล้มได้การเหยียบกะลา หากผู้ที่ยังยืนไม่แข็งแรง ก็ควรใช้เก้าอี้ในการนั่งก่อน แล้วค่อย ๆ พัฒนาในการยืนต่อไป

การเหยียบกะลานั้น ก็ขึ้นไปยืนลักษณะผ่อนคลาย ไม่เกร็ง ยืนแบบสบาย ๆ ค่อย ๆ ย่ำเท้าให้จุดสัมผัสบริเวณอุ้งเท้าเปลี่ยนจุดสัมผัสไปเรื่อย ๆ การเหยียบกะลานั้น ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทำทุกวันตอนเช้าหรือตอนเย็นก็สุดแล้วแต่จะมีเวลา แต่ที่สำคัญก็ต้องทำเป็นประจำ 2 - 5 นาทีการดูแลสุขภาพของเรานั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนมากมายอะไร เพียงแต่นำเอาวัสดุใกล้ตัว วัสดุธรรมชาติมาใช้ในการบำบัดรักษา

การเหยียบกะลา กับโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากเราดูแลร่างกาย ดูแลสุขภาพของเราอย่างสม่ำเสมอ โรคเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ ทุเลา หรืออาจหายไปเลยก็ได้หากเราทำอย่างสม่ำเสมอ ส่วนที่เหลือจากกะลามะพร้าว ก็นำไปปลูกต้นไม้ได้ ไม่เสียประโยชน์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://thaitopfood.blogspot.jp/2012/11/blog-post_1.html

สาระวันวัน: เหยียบกะลา ธรรมชาติบำบัด รักษาได้ทุกโรคการเหยียบก...

สาระวันวัน:
เหยียบกะลา ธรรมชาติบำบัด รักษาได้ทุกโรคการเหยียบก...
: เหยียบกะลา ธรรมชาติบำบัด รักษาได้ทุกโรค การเหยียบกะลา เป็นศาสตร์หนึ่งที่ใช้ธรรมช าติบำบัด และรักษาโรคได้หลายโรค บางคนมองข้ามไปคิดว่าจะต้...

ผักผลไม้ต้านมะเร็ง

ผักผลไม้ต้านมะเร็ง
สูตร ผักผลไม้ต้านมะเร็ง
เป็นสูตรน้ำผักต้านมะเร็ง ลองทำทานกันดูนะคะ
บทความคัดลอกมานะคะ.
น้ำผักผลไม้สูตรนี้ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใส
ลองนำไปปั่นทานกันดู..น่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย
ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย
สูตรมีดังนี้
1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน
สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย
ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ
สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.jatuka.com/ความรู้ทั่วไป/สูตรน้ำผักต้านมะเร็ง/