วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สาเหตุปากเหม็นเรื้อรัง

- มีเศษอาหารตกค้างอยู่ตามซอกฟัน ร่องเหงือก บนและโคนลิ้น รวมถึงต่อมทอนซิน
- โรคอักเสบเรื้อรังของช่องปาก เช่น โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง
- โรคอักเสบเรื้อรังของโพรงจมูกหรือไซนัส
- โรคต่อมทอนซินอักเสบเรื้อรัง
- โรคกรดไหลย้อน
- โรคมะเร็งในช่องปาก จมูก ไซนัส หรือลำคอ
- ช่องปากแห้งจากการกินยาบางชนิด เช่น ยาลดน้ำมูก หรือยาแก้โรคภูมิแพ้
- สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราเรื้อรัง
- ใส่ฟันปลอมและรักษาดูแลความสะอาดไม่ดี
- โรคตับเรื้อรัง และโรคไตเรื้อรัง
ฉะนั้นการกำจัดกลิ่นปากเรื้อรัง นอกจากรักษาโรคที่เป็นอยู่แล้ว จำเป็นต้องรักษาความสะอาดช่องปากให้ดี ด้วยวิธีใช้ไหมขัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ร่วมกับการแปรงฟัน  แต่ถ้าจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ เมื่อปลอดจากโรค ก็ปลอดจากกลิ่นปากค่ะ

5 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์

1 กระเทียม ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและมีคุณสมบัติในการขับพิษ ยับยั้งพิษ และสลายพิษอยู่ครบถ้วนทั้งสามคุณสมบัติ อาจจะเป็นอาหารที่มีกลิ่นเพราะมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบ ซึ่งกำมะถันจะจับโลหะหนักที่เป็นพิษและถูกกำจัดออกทางอุจจาระ

2 มะนาว เป็นแหล่งอาหารวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำมะนาว (แบบไม่ใส่น้ำตาล) ทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย รวมถึงสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูง จึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการล้างสารพิษ 

3 ขิง นอกจากจะเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้อาหารแล้วยังช่วยขับของเสียออกจากผิวหนังได้อีกด้วย ด้วยการนำขิงบดละเอียดพร้อมกับเกลืออาบน้ำลงในอ่างอาบน้ำร้อน หลังจากนั้นลงไปแช่ตัวให้นานเท่าที่ทำได้ เท่านี้จะเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายได้อีกหนึ่งทาง 

4 บีทรูท ไฟเบอร์จากบีทรูทจะเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระในตับซึ่งจะช่วยตับและถุงน้ำดีกำจัดสารพิษอื่นๆ ออกจากร่างกาย แถมยังมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบ ๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด

5 กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัด หรือนำไปผัด หรือนำไปต้มและผัดเร็ว ๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก ช่วยเพิ่มไฟเบอร์และขจัดสารพิษอีกด้วย
เรียบเรียงข้อมูล : Chalida Rita 
อ้างอิงจาก http://www.globalhealingcenter.com

เรื่องใกล้ตัว ท้องผูกเรื้อรังจนเป็นริดสีดวงทวาร

"คุณถ่ายอุจจาระกี่วันครั้งหรือคะ" คำถามที่หมอมักจะถามคนไข้เป็นประจำ
"ทุกวันเลยค่ะ"
 คนไข้บางคนมักจะตอบด้วยสีหน้ารื่นเริง
"นาน ๆ ครั้งค่ะ ล่าสุดก็...(ทำหน้าคิดนาน)..."
 กลุ่มคนไข้ที่ตอบแบบนี้ มักมีสีหน้าไม่รื่นเริงค่ะ
เหมือนโฆษณาโทรทัศน์ ที่สาวสวยจะไปสมัครงาน จะไปพบพ่อแม่แฟน แต่ท้องผูกแล้วทำหน้าอมทุกข์ รู้สึกไม่มั่นใจ พอกินผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ได้ขับถ่ายก็มีสีหน้ารื่นเริง มั่นใจ
แสดงว่าท้องผูกก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราพอควร ใช่ไหมคะ
อย่างไร ถึงเรียกว่าท้องผูก
ท้องผูก คือการถ่ายอุจจาระที่ "น้อยกว่า 3 ครั้ง" ต่อสัปดาห์ อุจจาระลักษณะเป็นก้อนแข็ง ออกยาก กว่าจะถ่ายออกมาได้ ต้องใช้ความพยายาม เบ่งกันจนหน้าเขียว อ่านหนังสือจบไปเป็นเล่ม บางคนมีอาการท้องอืดร่วมด้วย
วิธีป้องกันการเกิดอาการท้องผูก ได้แก่ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน หรืออย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน การรับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผัก ผลไม้ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่กลั้นอุจจาระเวลาที่รู้สึกปวด บางคนต้องเก็บไปปล่อยที่บ้านเท่านั้น กว่าจะถึงบ้าน ฟีลลิ่งที่ว่าก็หายไปแล้ว กว่าฟีลลิ่งจะมาอีกที ก็ท้องผูกไปเรียบร้อย
แล้วเมื่อไหร่ที่ควรใช้ยาระบายล่ะ
หากเกิดอาการท้องผูกบ่อย ๆ คุณสามารถใช้ยาระบายได้ ยาระบายหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง คือเมื่อคุณกลับมาถ่ายอุจจาระได้เป็นปกติ ก็ควรหยุดใช้ยาระบาย คือไม่ควรใช้ต่อเนื่องนั่นเอง หากใช้มากเกินไป ลำไส้ของคุณจะติดยาระบาย หากไม่ได้ใช้ยาระบาย จะถ่ายไม่ได้ ซึ่งไม่ควรนะคะ
หากใช้ยาระบายแล้ว ก็ยังมีอาการท้องผูก ควรจะปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจมีโรคอื่น ๆ แอบซ่อนอยู่ค่ะ
หากท้องผูกเรื้อรัง เบ่งอุจจาระเป็นประจำบ่อย ๆ อีกโรคหนึ่งที่จะตามมาคือ "โรคริดสีดวงทวาร"ค่ะ
โรคริดสีดวงทวารเกิดจากการที่เส้นเลือดรอบรูก้นหรือลำไส้ส่วนปลายเกิดอาการโป่งพองขึ้น โดยอาจมีอาการปวด ระคายเคือง หรือคันบริเวณที่เป็นได้ อาจมีเลือดออกเวลาอุจจาระ
ริดสีดวงทวารมักเกิดในคนที่ท้องผูกบ่อย คนที่มีน้ำหนักเกิน สตรีตั้งครรภ์ คนที่ยืนนาน ๆ หรือนั่งนาน ๆ การป้องกันไม่ให้เกิดริดสีดวงทวาร ก็คือการป้องกันการเกิดภาวะท้องผูกค่ะ หากเกิดริดสีดวงทวารแล้ว สามารถบรรเทาอาการโดยครีม หรือยาเหน็บได้ ในบางรายที่เป็นมาก ควรปรึกษาแพทย์ อาจต้องรักษาโดยการผ่าตัดค่ะ

ยกทรงไม่มีประโยชน์ ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้!

การใส่บรา เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้หญิงทุกคน และแทบทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนแก่ โดยเป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาเหมือนกันทุกที่ทั่วโลก ว่าการใส่บรานอกจากจะเป็น การอำพรางสิ่งพึงสงวนของคุณผู้หญิงเพื่อความเรียบ ร้อยในการแต่งกายแล้ว ยังจำเป็นสำหรับการรักษารูปร่างเต้านมให้สวยงามไม่หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วง ของโลกและที่สำคัญยังเกี่ยวข้องกับสุขภาพหลัง โดยเฉพาะสำหรับคนที่หน้าอกหน้าใจใหญ่ เพราะบราจะช่วยประคองน้ำหนักไม่ให้หลังคุณผู้หญิงต้องแบกรับน้ำหนักมากเกิน ไปจนเกิดการปวดหลังตามมาได้

แต่ผลวิจัยล่าสุดจากคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาของมหาวิทยาลัยเบซองซง ประเทศฝรั่งเศส กลับพลิกความเชื่อทั้งหมดที่ว่ามานี้ โดยจากการเก็บสถิติจากกลุ่มตัวอย่างที่ยาวนานถึง 15 ปี พบว่าการสวมใส่บราไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าการใส่บราเพื่อสุขภาพและหน้าอกที่สวยงาม เป็นมายาคติที่ผู้หญิงคิดไปเองเท่านั้น

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเบซองซงเก็บตัวอย่างการวิจัยโดยใช้เวลา 15 ปี วัดการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างทรวงอกผู้หญิง 130 คน โดยมีทั้งคนที่ใส่บราตลอด และไม่ใส่เลย ปรากฏว่าผู้หญิงที่ใส่บรา กลับมีการหย่อนคล้อยของหน้าอกมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใส่บรา นอกจากนี้ กลุ่มที่ไม่ใส่บราส่วนใหญ่ยังบอกว่าหลังจากไม่ได้ใส่บราเลยตลอด 2 ปี พวกเธอก็รู้สึกได้ชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลง โดยมีอาการปวดหลังน้อยลง และยังหายใจได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย ทำให้นักวิจัยได้ข้อสรุปว่า อันที่จริงแล้วร่างกายมนุษย์ ออกแบบมาเพื่อให้มีสรีระแบบนี้โดยธรรมชาติ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องหาเสื้อผ้ามาประคองรูปทรงร่างกายให้ยุ่งยากไปเปล่าๆ

เรียกได้ว่าผลการวิจัยในครั้งนี้ อาจทำให้ผู้หญิงหลายๆคนเลิกใส่บรา เหมือนที่เมื่อเกือบร้อยปีก่อน ผู้หญิงตะวันตกก็เคยเลิกใส่คอเซ็ตที่รัดรึงรูปทรงจนหายใจไม่ออกมาแล้ว

ธรรมชาติ ชะลอวัย


คำว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข ดูจะไม่เป็นคำกล่าวที่เกินจริงสักเท่าไร
เพราะภาพของผู้หญิงรอยยิ้มสดใสตรงหน้าท่านผู้อ่านในขณะนี้ คือภาพของ คุณหญิงพรรณทอง มณีศิลป์ ภริยาของอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ. ปอง มณีศิลป์ ที่ถึงแม้วันนี้ อายุจะเดินทางเข้าสู่ตัวเลข 68 แล้ว แต่ท่านยังคงดูอ่อนเยาว์ อารมณ์ดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และที่สำคัญ ท่านยังเป็นเจ้าของสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่แพ้คนวัยหนุ่มสาว
เมื่อทีมงาน ชีวจิต ได้มีโอกาสเดินทางมาพูดคุยกับท่านอย่างใกล้ชิดถึงบ้านพักในจังหวัดอุบลราชธานีแบบนี้ ทำให้เรายิ่งสัมผัสได้ถึงความเบิกบานที่ฉายผ่านแววตาของท่าน จนทำให้นึกสงสัยว่า อะไรคือเคล็ดลับในการดูแลตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ที่ทำให้ท่านไม่มีโรคประจำตัวใดๆมาสร้างความรำคาญใจเลย ซึ่งเมื่อ ชีวจิต เอ่ยถามคำถามนี้ออกไปเพื่อคลายความสงสัย ท่านก็รีบให้คำตอบทันทีว่า "อันดับแรก ต้องไม่คิดว่าตัวเองแก่" พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นกันเอง
เลือกเมนูธรรมชาติครบ 3 มื้อ หนังสือเรื่อง "ชีวจิต ชีวิตที่เข้าใจธรรมชาติ" ของ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง บอกไว้ว่า "อาหารที่เรากินเข้าไปในชีวิตประจำวันถือเป็นยาชะลอความแก่ชั้นดี เพราะการกินอาหารจากธรรมชาติ ถือเป็นการให้อาหารที่ดีต่อนิวเคลียสซึ่งเปรียบดังหัวใจของเซลล์ด้วย
"การกินอาหารจากธรรมชาติ ปราศจากสารพิษ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ อันเป็นต้นเหตุของความแก่ชราได้" วิถีชีวิตของคุณหญิงพรรณทองก็คงไม่ต่างจากคำกล่าวของอาจารย์สาทิสในข้างต้น เพราะสิ่งหนึ่งที่ท่านยึดถืออยู่เสมอ คือเรื่องการกินอาหารจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง
"ปกติตื่นนอนประมาณตี 5 เมื่อตื่นขึ้นมาสัก 2 - 3 ชั่วโมง ต้องกินอาหารเช้าทุกวัน โดยเน้นโปรตีนเป็นหลัก เช่น น้ำเต้าหู้ หรือพวกโปรตีนจากพืช ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย แต่เวลากินอาหารเช้า ต้องคิดเหมือนกันว่า อาหารที่กินเข้าไปเพียงพอหรือยัง สามารถนำพลังงานจากมื้อนี้ไปใช้ในการทำงานได้ถึงตอนเที่ยงเลยหรือเปล่า
"ส่วนมื้อกลางวัน ชอบทำอาหารกินเอง ส่วนใหญ่จะอบอะไรกินง่ายๆ เหมือนเป็นมื้อที่ให้รางวัลกับตัวเอง พอตกเย็น ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานแล้ว จะเน้นกินอาหารที่มีเส้นใยเป็นหลัก ถ้าเป็นผักก็กินเป็นสลัดหรือเอามาต้มบ้าง นึ่งบ้าง แต่ถ้าเป็นผลไม้ โดยมากจะกินผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น มะละกอ เพราะตอนนี้ตัวเราเองมีปัญหาเรื่องสายตาอยู่ ซึ่งก็เป็นไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น
"เดี๋ยวนี้ เวลาจะกินอะไรทั้งทีจึงไม่ได้นึกถึงความอร่อยเลย แต่เน้นประโยชน์มากกว่า เช่นที่บอกไปว่า มื้อเช้าเลือกกินโปรตีนเป็นหลัก เพราะโปรตีนเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้เซลล์พร้อมทำงาน เราจะคิดเสมอว่าสุขภาพต้องมาก่อน แต่ต้องกินอย่างพอดีด้วย ไม่งั้นอาจกลายเป็นโทษได้"
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบแนวคิดในการทำการเกษตรแบบพึ่งตนเอง ซึ่งการปลูกเอง กินเอง ทำให้ท่านหมดห่วงเรื่องสารพิษที่อาจมาพร้อมกับอาหาร "เราสังเกตเห็นว่า พ่อแม่และญาติๆอายุยืนเกือบร้อยปีกันหมดทุกคน ซึ่งคงเป็นเพราะคนสมัยก่อนฉลาด รู้จักทำการเกษตร ปลูกผักกินเอง ไม่มียาฆ่าแมลงเหมือนทุกวันนี้
"นี่จึงเป็นแนวคิดหนึ่งที่ทำให้สนใจเรื่องการทำการเกษตร อย่างในบ้านหลังนี้ (ที่จังหวัดอุบลราชธานี) จะมีแปลงนาปลูกข้าวของเราเองอยู่หลังบ้าน รวมทั้งมีการปลูกพืชสมุนไพร เช่น ขมิ้น กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ไว้กินเองด้วย"
สู้ป่วย ด้วยสูตรสมุนไพร
คุณหญิงเล่าให้ฟังต่อว่า ด้วยความที่คุณตาเป็นหมอชาวบ้าน ทำให้ท่านสนใจเรื่องสุขภาพมาตั้งแต่เด็ก และเชื่อมาตลอดว่า เวลาเจ็บป่วย ร่างกายคนเราสามารถรักษาตัวเองได้ โดยไม่ต้องกินยาเสมอไป
"จำได้ว่า สมัยก่อน เวลาหมอโบราณรักษาคนไข้ เขาจะเอารากไม้มาฝน ไม่มียาเป็นเม็ดๆเหมือนในปัจจุบัน อย่างตอนเด็กๆ เวลาปวดท้อง หรือท้องอืดท้องเฟ้อ ยายจะเอาขมิ้นมาฝน แล้วผสมน้ำปูนใสให้กิน เหมือนกับว่า เราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ เวลาเจ็บป่วยจึงไม่ค่อยได้พึ่งยาเลย แต่อาศัยกินขมิ้นหรือสมุนไพรแทน
"บางทีอาศัยอ่านจากหนังสือ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้ คนอื่นเขาอาจจะรู้ เช่นเวลาเจ็บป่วย เราควรดูแลสุขภาพอย่างไร เมื่อไม่นานนี้ก็เพิ่งอ่านเรื่องหญ้าปักกิ่งกับใบหญ้านางใน ชีวจิต มา (หัวเราะ) การอ่านหนังสือจะช่วยไขข้อคาใจได้มาก"
นอกจากนี้ ท่านยังเชื่อว่า วิธีป้องกันป่วยคือการพยายามดูแลตัวเองให้ดี แล้วภูมิชีวิตหรืออิมมูนซิสเต็มจะเกิดขึ้นตามมา
"ถ้าสมมติเจ็บป่วยเป็นอะไร เช่นเป็นหวัด โรคนี้รักษาไม่หาย ดังนั้น เราต้องดูแลตัวเองเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายสร้างอิมมูน (Immune) อาจจะกินวิตามินเสริมบ้าง แล้วก็ดื่มน้ำให้พอเพียง
"เมื่อเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมา สิ่งที่ควรทำมากกว่าจึงเป็นการย้อนกลับมารักษาสุขภาพของตัวเอง เพื่อไม่ให้อาการทรุดลง เหมือนเราต้องสร้างเกราะคุ้มกันโรคให้ตัวเอง ต้องพึ่งตัวเองก่อนด้วย ไม่ใช่ว่าจะพึ่งหมออย่างเดียว"
กาย - ใจแกร่ง เพราะต้นไม้
ขณะทีมงานเดินหาสถานที่สำหรับเก็บภาพสวยๆของคุณหญิง ท่านพาเราเดินสำรวจรอบบ้านพักของท่าน ซึ่งเป็นบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ ภายในรั้วบ้าน เต็มไปด้วยต้นไม้ พืชสมุนไพร และดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ อีกทั้งด้านหลังของตัวบ้านยังอยู่ติดกับทุ่งนาผืนใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่เดินไปรอบๆบ้าน ท่านชี้ชวนให้ทีมงานดูต้นไม้หลายสิบต้นที่ท่านเลี้ยงดูมาจนกลายเป็นต้นสูงใหญ่ ท่านเล่าต่อว่า ในแต่ละวัน ต้นไม้คือสิ่งแรกที่ได้พบเจอตั้งแต่ลืมตาตื่น ซึ่งสีเขียวของต้นไม้ ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกสดชื่น แต่การได้ลงมือลงแรงปลูกต้นไม้เองกับมือ ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจ
"ตอนเช้าๆ อากาศดี จะชอบตื่นมารดน้ำต้นไม้ เวลารดน้ำ เราก็ได้ออกแรงไปด้วย ยิ่งในบ้านมีต้นไม้เยอะอยู่แล้ว กว่าจะเดินไล่รดน้ำจนครบทุกต้น กินเวลาหลายสิบนาที บางทีจึงไม่จำเป็นต้องออกไปไหน ออกกำลังกายกับต้นไม้ในบ้านตัวเองนี่แหละ"
การได้อยู่กับต้นไม้ทุกๆวัน ยังถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของท่าน ซึ่งไม่อาจวัดคุณค่าได้ด้วยเงินทองหรือของนอกกาย "ต้นไม้สอนให้รู้ว่า ความสุขของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะ เพราะแค่คุณมีต้นไม้อยู่ในบ้านหรือว่าคุณทำงานกับต้นไม้ ไม่ต้องไปใส่เพชรใส่พลอย คุณก็มีความสุขได้ เพราะต้นไม้ช่วยเติมเต็มจิตใจให้กับเรา ปลูกไว้ดูเองก็มีความสุข ถ้าคนอื่นมาดูด้วยก็ยิ่งดี เหมือนได้ทำให้เขามีความสุขไปพร้อมกับเรา"
นอกจากนี้ ท่านบอกกับเราอีกว่า การโน้มนำจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีส่วนช่วยสร้างสมาธิให้กับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี "ไม่ใช่แค่ได้ความสบายใจ แต่การปลูกต้นไม้สักต้น ยังทำให้เราได้ใช้จินตนาการ ได้นั่งคิดเพลินๆว่า ต้นไม้ต้นนี้ โตขึ้นมา หน้าตาจะเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่จึงชอบซื้อต้นไม้มาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ออกดอก เราจะได้ดูการเจริญเติบโตของมันตั้งแต่แรก
"การต้องเอาใจใส่กับต้นไม้จนกว่ามันจะโตนี่แหละ คือการฝึกสมาธิอย่างดี เพราะถ้าเราอยากให้ต้นไม้ออกดอก เราต้องดูแล จดจ่ออยู่กับเขา ขณะนั้นเราต้องอาศัยความอดทน ใจเย็น เพื่อรอวันที่มันออกดอก ซึ่งเมื่อวันนั้นมาถึง เราเองจะชื่นใจที่ได้ชมความสวยงาม อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเรา"
หากอยากเป็นเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ อารมณ์แจ่มใส และไม่มีโรคภัย แค่ลองหาเวลาอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้นอีกนิด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้เล็กๆไว้ในรั้วบ้าน กินอาหารจากธรรมชาติ ดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งรส หรือวิธีการใดก็แล้วแต่ ไม่แน่ว่า เราอาจได้พบ "เพื่อนสนิท" คนใหม่ ที่ช่วยเติมเต็มร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงกว่าเดิม
เทคนิคช่วยอ่อนกว่าวัย
• เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ และตื่นประมาณตี 5 ทุกวัน เพื่อฝึกให้ร่างกายขับถ่ายของเสียในช่วงเช้าเป็นประจำ ทำให้สดชื่นขึ้น
• แบ่งเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนอยู่เสมอ อย่าโหมงานหนักเกินไป วิธีพักผ่อนง่ายๆคือ ฟังเพลงคลาสสิค ดูงานศิลปะสวยๆงามๆ ดูรายการทีวีที่ชอบ
• วางแผนการทำงาน โดยเขียนตารางกิจกรรมที่ต้องทำใน 1 สัปดาห์ และลิสต์รายการว่าอะไรควรทำก่อนและหลัง หากทำไม่ไหวควรขอความช่วยเหลือ หรือกระจายงานให้คนอื่นช่วยทำ อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียว เพราะจะทำให้เครียดโดยไม่รู้ตัว
• อัพเดตความรู้ใหม่ๆให้ตัวเองเสมอ สังเกตคนรุ่นใหม่ว่ากำลังสนใจเรื่องอะไร โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เพื่อให้เราเป็นคนสูงวัยที่ไม่ตกยุค

จริงหรือ ‘กำหมัด‘ ช่วยให้สมองจำดีขึ้น

จากผลวิจัยล่าสุดของนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมอนต์แคลร์สเตท รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ ระบุว่า การกำมือแน่นๆ ช่วยให้ความจำดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ความสามารถในการระลึกความทรงจำเก่าๆ กลับคืนมาได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยได้ทำการทดลองกับอาสาสมัครผู้ใหญ่จำนวน 50 คน ให้จดจำคำศัพท์จากลิสต์คำศัพท์จำนวนมากขณะที่ทดลองกำมือไปด้วย พบว่า การกำมือขวาเป็นเวลา 90 วินาทีจะช่วยให้การจดจำสิ่งใหม่ๆ ทำได้ดีขึ้น
ในขณะที่การกำมือซ้ายด้วยเวลาเท่าๆ กันจะช่วยให้การเรียกคืนความทรงจำเก่าๆ ทำได้ดีขึ้น การกำมือขวาก่อนเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ และการกำมือซ้ายก่อนจะเรียกคืนความทรงจำนั้นสามารถปรับปรุงระบบความทรงจำได้ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนการทำงานของสมองชั่วคราว
ทั้งนี้ งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการกำมือซ้ายและมือขวาสามารถกระตุ้นการทำงานของสมองซีกตรงกันข้ามได้ รวมถึงยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ด้วย เช่น การกำมือขวาเชื่อมโยงกับความความสุขและความโกรธ ในขณะที่การกำมือซ้ายเชื่อมโยงกับความเศร้าและความวิตกกังวล

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อาหารเพื่อสุขภาพ 8 เมนูเด็ด ฟิตหุ่นเฟิร์มทันใจ

อาหารเพื่อสุขภาพ 8 เมนูเด็ด ฟิตหุ่นเฟิร์มทันใจ


 ใครที่บ่นว่าออกกำลังกายแล้วไม่ได้ผล ลองหันมาเช็กพฤติกรรมการกินหลังการออกกำลังกายของตัวเองตามคำแนะนำของ ดร.ไมค์ รัสเซล ที่ปรึกษาทางด้านโภชนาการชาวสหรัฐฯ และผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Six Pillars of Nutrition เขาเผยว่า 8 เมนูต่อไปนี้ควรกินหลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จแล้ว เพราะมันดีต่อกล้ามเนื้อของเราอย่างแท้จริง

1.โยเกิร์ตไขมัน 0%

          เน้นว่าควรเป็นโยเกิร์ตไขมัน 0% อาจเพิ่มคุณค่าด้วยผลไม้สด เช่น ผลไม้จำพวกเบอร์รี่สด ดร.ไมค์ แนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงโยเกิร์ตรสผลไม้ เพราะโยเกิร์ตประเภทนี้แฝงไว้ด้วยน้ำตาลในปริมาณสูงทีเดียว

2.ผลไม้อบแห้ง และถั่ว

          เมนูเพิ่มโปรตีนเร่งด่วนที่ง่ายและมีคุณค่ามาก ดร.ไมค์ แนะนำว่า เราอาจมิกซ์สองสิ่งนี้ใส่กระป๋องรวมกัน โดยแบ่งสัดส่วนให้ได้อย่างละ ¼ ด้วย หรือจะใช้วิธีการผสมอย่างละ 1 กำมือก็ได้

3.แซนวิชไก่ใส่ผักเยอะ ๆ

          แซนวิชไก่ใส่ผักเป็นอีกเมนูที่น่าสนใจ เพราะร่างกายจะได้ทั้งโปรตีนคาร์โบไฮเดรตและแร่ธาตุอื่น ๆ ครบถ้วน ซึ่งเราสามารถเพิ่มคุณค่าไปที่การใส่ผักกาดหอมสด มะเขือเทศ และขนมปังโฮลวีต หรือไข่ดาวสักฟอง

4.สมูธตี้ผลไม้

          เมนูสมูธตี้ผลไม้ขอเน้นว่าต้องทำเอง จะได้หายห่วงเรื่องปริมาณแคลอรี่จากน้ำตาล เพราะเราสามารถเลือกโยเกิร์ตไขมัน 0% ผลไม้สด นมผง นำมาปั่นรวมกันจนเป็นเนื้อเนียน กลายเป็นสมูธตี้เพื่อสุขภาพจริง ๆ

5.ข้าวตัง (Rice Cakes)

          ข้าวตัง หรือข้าวพองเป็นเมนูที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต มีแคลอรี่ต่ำอยู่ที่ประมาณ 30-40 แคลอรี่ต่อชิ้น หากใครไม่อยากจำเจ ลองกินแบบทาท็อปปิ้งบาง ๆ เช่น แยมผลไม้ เนย ถั่ว ชีส เป็นต้น

6.อาหารจานผัด (Stir-fry menu)

          สำหรับคนกินมังสวิรัติ อาจเติมโปรตีนให้ร่างกาย ด้วยผัดผักใส่เต้าหู้ ใส่ถั่วแระ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้เป็นมังสวิรัติก็สามารถใส่กุ้ง หรือไก่เพิ่มได้

7.แพนเค้ก

          แพนเค้กเป็นเมนูที่ควรระวังเรื่องปริมาณเนย และไซรัป หากอยากเติมโปรตีนคูณสองให้กับร่างกาย อาจตีไข่ขาวประมาณ 1-2 ฟองตีผสมกับแป้งแพนเค้ก แล้วราดท็อปปิ้งด้วยชินนามอน หรือผลไม้แห้ง แค่นี้ก็จะได้เมนูเติมพลังแสนอร่อยแล้ว

8.น้ำผลไม้คั้นสด

          ดร.ไมค์ แนะนำว่า ลองจับคู่กับขนมปังโฮลวีตสักแผ่นกินคู่กับน้ำผลไม้คั้นสด เราจะได้ประโยชน์จากวิตามินซีในผลไม้เพิ่มมาด้วย แต่สำหรับผลไม้บรรจุกล่องควรหลีกเลี่ยง เพราะเราจะได้แคลอรี่จากน้ำตาลมาแทนวิตามินซี

Post-Workout Tips

          หลังออกกำลังกาย ร่างกายต้องการสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนเพื่อนำไปซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอ ผลคือมวลกล้ามเนื้อที่แข็งแรง และยืดหยุ่นดีเข้ามาแทนที่ชั้นไขมัน เราจึงรู้สึกว่าร่างกายดูเฟิร์มขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.happynow.in.th/

ถั่วเหลือง สรรพคุณถั่วเหลือง สารพันคุณค่าจากถั่วเหลือง ธัญพืชเม็ดเล็กที่น่าลิ้มลอง

ถั่วเหลือง สรรพคุณถั่วเหลือง สารพันคุณค่าจากถั่วเหลือง ธัญพืชเม็ดเล็กที่น่าลิ้มลอง


  เมื่อพูดอาหารที่ให้คุณ ประโยชน์ต่อร่างกายของเราแล้ว นอกจากอาหารประเภทพืชผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ก็ยังมีธัญพืชต่าง ๆ ที่ให้คุณค่าทางสารอาหารแก่ร่างกายอีกด้วย ซึ่งใน วันนี้กระปุกดอทคอมขอหยิบยกเอาเรื่องประโยชน์ของธัญพืชเม็ดเล็ก ๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง "ถั่วเหลือง" มาให้คุณได้พิสูจน์กันว่า ถั่วเหลืองมีประโยชน์อย่างที่ใคร ๆ เขาพูดกันจริงหรือเปล่า และช่วยให้สุขภาพของผู้ชายอย่างเราดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง 
 
1. แหล่งของโปรตีน
 
            หากจะให้จัดลำดับความสำคัญของอาหารในกลุ่มโปรตีนแล้วล่ะก็ นับว่าถั่วเหลืองเป็นอาหารที่ให้สารอาหารประเภทโปรตีนสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นถั่วเหลืองน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการโปรตีนให้กับร่าง กาย โดยสลับสับเปลี่ยนประเภทของอาหารจากเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากนมวัว มารับประทานอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากถั่วเหลืองบ้าง เช่น น้ำนมถั่วเหลือง เต้าหู้ หรืออาหารที่ทำจากแป้งถั่วเหลือง เป็นต้น
 
2. ป้องกันโรคหัวใจ
 
            ถั่วเหลืองไม่ใช่แค่แหล่งสะสมของโปรตีนเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย นั่นเป็นเพราะในถั่วเหลืองมีใยอาหารที่ละลายน้ำได้ประกอบอยู่ด้วย ซึ่งใยอาหารชนิดนี้จะเข้าไปลดระดับปริมาณไขมันที่ไม่ดีให้น้อยลง เช่น ไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจ ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานและโรคกระดูกพรุน อีกด้วย
 
3. ลดน้ำหนัก
 
            หากต้องการจะลดน้ำหนักหรือฟิตหุ่นให้เฟิร์มแล้วล่ะก็ การออกกำลังกายอย่างเดียวคงไม่พอแน่ ๆ เพราะหลังจากที่ออกกำลังเสร็จแล้ว ความหิวอาจจะทำให้คุณกินมากขึ้น ซึ่งคุณสามารถป้องกันอาการเหล่านั้นได้ด้วยการรับประทานถั่วเหลืองหรือ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองแทนอาหารประเภทอื่นที่จะเติมไขมันส่วนเกินเข้าสู่ ร่างกาย ทั้งนี้เป็นเพราะในถั่วเหลืองมีเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำประกอบอยู่ด้วย ซึ่งเส้นใยชนิดนี้ย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในสำไส้ และเกิดเป็นพลังงานที่ไม่รวมตัวกับไขมัน จึงทำให้คุณรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นนั่นเอง ใครที่ต้องการลดน้ำหนักสามารถนำสูตรนี้ไปใช้กันได้เลย
 
4. ลดความเสี่ยงการก่อตัวของมะเร็ง
 
            ในถั่วเหลืองมีส่วนประกอบที่จะช่วยป้องกันการก่อตัวของมะเร็งมากมาย ซึ่งสารที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้ก็คือ ไฟโตเอสโตรเจน โดยสารชนิดนี้จะเข้าไปช่วยชะลอการทำงานของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้แล้วถั่วเหลืองยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการก่อตัวของโรคมะเร็ง ชนิดอื่น ๆ ด้วย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งในลำไส้ใหญ่ ฯลฯ
 
5. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
 
            หลาย ๆ คน อาจจะติดอยู่กับความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าถ้าอยากจะมีกระดูกและร่างกายที่แข็งแรงต้องดื่มนมวัวอย่างเดียวเท่า นั้น ซึ่งอันที่จริงนอกจากผลิตภัณฑ์จากนมวัวแล้ว นมถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ผลิตจากถั่วเหลืองก็สามารถช่วยให้กระดูกของคุณแข็งแรงได้เช่นกัน เพราะในถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวน ที่ช่วยระงับการสลายตัวของกระดูก อีกทั้งยังมีโปรตีนที่ช่วยให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมน้อยลงด้วย
 
6. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
 
            เหตุที่เราบอกว่าถั่วเหลืองสามารถเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้ นั่นเป็นเพราะว่าในถั่วเหลืองเป็นแหล่งสะสมของสารซาโปนิน ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิม คราวนี้คุณก็ไม่ต้องกลัวโรคภัยต่าง ๆ แล้วล่ะ 
 
            ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะชอบรับประทานอาหารแบบใด หรือวางแผนจัดตารางอาหารสำหรับการลดน้ำหนักของคุณไว้อย่างไร ก็อย่าลืมเพิ่มถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองเข้าไปด้วย นะ เพราะถั่วเหลืองนอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องมากขึ้นและเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วย โปรตีนแล้ว ยังมีสารอาหารสำคัญ ๆ อีกหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย และปกป้องตัวคุณจากสารพัดโรคร้ายอีกด้วย

ดูแลป้องกันไต ในช่วงหน้าร้อน

ดูแลป้องกันไต ในช่วงหน้าร้อน


หลายคนยังไม่รู้ว่าหน้าที่ของ "ไต" มีความสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย และที่น่ากังวลยิ่ง เนื่องจากขณะนี้บ้านเรามีผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายมากกว่า 30,000 ราย ซึ่งรัฐต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนมากในการดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้

สำหรับเรื่องนี้วิธีป้องกันดูจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพ เอาล่ะค่ะก่อนจะเข้าเรื่อง มารู้จักไตก่อนนะคะ

ไตคนเรานั้นมี 2 ข้าง อยู่บริเวณด้านหลังตรงบั้นเอว ภายหลังที่เรารับประทานอาหาร ขนม หรือน้ำดื่ม ร่างกายจะเก็บสิ่งที่ดีมีประโยชน์ไว้ ส่วนเกินหรือสิ่งที่ไม่ต้องการจะถูกขับออกทางไตเป็นปัสสาวะ ซึ่งในน้ำปัสสาวะจะมีสารหลายชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ รวมทั้งเกลือแร่ กรด ด่าง เพื่อปรับสมดุล
แต่เมื่อใดที่ร่างกายเริ่มแสดงอาการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น บวมตามใบหน้า แขน ขา อ่อนเพลีย ความดันโลหิตสูง เบื่ออาหาร ซีดลง เหนื่อยง่าย ปัสสาวะมีสีผิดปกติ แสดงว่าไตเริ่มทำงานไม่ปกติแล้ว อย่างไรก็ดี บางคนกลับไม่มีอาการ เพราะร่างกายสามารถปรับตัวได้ดีมาก
สำหรับหน้าร้อนนี้ ผู้ที่ไตปกติคงไม่มีข้อระวังอะไรเป็นพิเศษ นอกจากพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะจะทำให้เสียเหงื่อมากกว่าฤดูอื่นๆ ยิ่งถ้าชอบรับประทานอาหารรสจัด ๆ ก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะการที่ร่างกายจะขจัดของเสียได้ ต้องอาศัยน้ำเป็นตัวพาไปสู่การกรองของไตให้กลายเป็นปัสสาวะ ดังนั้นควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2ลิตร เพื่อให้ร่างกายขับถ่าย นำพาของเสียออกทางปัสสาวะได้อย่างเต็มที่ ซึ่งร่างกายจะบอกความต้องการได้จากการกระหายน้ำ เพียงแค่ดื่มน้ำชดเชยเหงื่อที่เสียไปก็ช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลแล้ว
แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต ในหน้าร้อนควรใส่ใจดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ โดย

1. น้ำดื่ม
 ผู้ป่วยโรคไตชนิดน้อยถึงปานกลาง คือผู้ที่มีความดันโลหิตไม่สูงมาก ไม่มีอาการบวมบริเวณแขนและขา ปัสสาวะออกเกิน 1ลิตรต่อวัน สามารถดื่มน้ำได้ตามปกติ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 1ลิตรครึ่ง ถึง 2ลิตร หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อการขับถ่ายของเสียจะได้เป็นปกติ
 ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ซึ่งรักษาโดยการฟอกเลือดหรือผ่านการทำ ไตเทียมมาแล้ว ควรดื่มน้ำเมื่อกระหายในปริมาณพอดีๆ ในแต่ละครั้ง แต่ไม่ควรเกินครึ่งลิตรต่อวัน เนื่องจากร่างกายไม่ค่อยมีเหงื่อออกและปัสสาวะน้อยอยู่แล้ว จึงควรระวังให้น้ำหนักคงที่ ไม่ดื่มน้ำมากเกินไปจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น น้ำท่วมปอด เป็นต้น
 ผู้ป่วยโรคไตที่มีความดันโลหิตสูงร่วมด้วย ไม่ควรเดินหรือยืนตากแดดนานไป เพราะจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิต อาจสูงมากไปหรือต่ำเกินไป จนเป็นลมหรือเกิดอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้ น้ำดื่มจะต้องไม่ผสมเกลือแร่ หรือดื่มน้ำแร่ เพราะจะทำให้เพิ่มปริมาณเกลือแร่ในร่างกายสูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนการดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำสมุนไพรก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคไตแต่ละระยะจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะสารโพแทสเซียม ซึ่งอาจเป็นอันตรายถ้ามีมากเกินไป รวมทั้งหลีกเลี่ยง ชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีสีดำ ซึ่งมีฟอสฟอรัสสูง ไม่เหมาะต่อผู้เป็นโรคไต เพราะมีเกินอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับโรคกระดูกตามมาได้


2. อาหาร
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม ซึ่งจะส่งผลต่อความดันโลหิตสูง หัวใจ และน้ำท่วมปอด รวมถึงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น มะม่วง ทุเรียน ลิ้นจี่ ขนุน ลำไย เงาะ เพราะจะทำให้หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอและหยุดเต้นได้ สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ไตยังทำงานปกติ สามารถกินอาหารที่รสไม่เค็มจัดเกินไปและผลไม้ได้พอสมควร เพียงแต่ต้องระวังเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการคั่งของเกลือ ส่วนผู้ป่วยโรคไต ที่การทำงานเสื่อมลงปานกลางหรือมากแล้ว หลีกเลี่ยงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ถั่ว และอาหารแปรรูป เช่น กุนเชียง ไส้กรอก หมูยอ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ร่างกายจึงสามารถต่อต้านโรคภัยได้ค่ะ