วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

ไขเทคนิค “อบสมุนไพร” ด้วยตัวเองแบบไม่เสี่ยงตาย!

ไขเทคนิค “อบสมุนไพร” ด้วยตัวเองแบบไม่เสี่ยงตาย!
 “หน่วยบริการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้มีบริการอบสมุนไพรมานานแล้ว และไม่เคยพบผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว” คำยืนยันจาก นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ออกแถลงการณ์สร้างความมั่นใจให้ประชาชน ว่า การอบสมุนไพรนั้นไม่เป็นอันตรายและปลอดภัย แม้จะอบสมุนไพรด้วยตัวเองที่บ้านก็สามารถทำได้ แต่ประเด็นสำคัญ คือ...ต้องทำอย่างถูกวิธี!!
       การที่ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ รีบออกมาป่าวประกาศสร้างความเข้าใจ และเรียกความมั่นใจคืนจากประชาชนในเรื่องการอบสมุนไพรนั้น มีที่มาจากข่าวน่าสลด เมื่อพระครูรัตน พัชโรภาส หรือ หลวงพ่อชัย เจ้าอาวาสวัดศิริรัตนวราราม (ท่าข้าม) จ.เพชรบูรณ์ ได้มรณภาพลงระหว่างการอบสมุนไพรด้วยตัวเองภายในวัด ตามข่าวระบุว่า ท่านเจ้าอาวาสสร้างห้องอบสมุนไพรขึ้นใช้เอง โดยมีการจุดเตาถ่านต้มสมุนไพร เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และลดความอ้วน สุดท้ายขาดอากาศหายใจเสียชีวิต ขณะที่พระลูกวัดมีอาการสาหัส
    
       นพ.สมชัย ได้กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า การใช้เตาถ่านต้มสมุนไพร ออกซิเจนภายในห้องจะถูกเผาผลาญ ทำให้ออกซิเจนเหลือน้อย แต่มีคาร์บอนไดออกไซด์มาก จนขาดอากาศหายใจ นอกจากนี้ หากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย ส่วนที่ระบุว่าสมุนไพรอาจเป็นพิษนั้น คาดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เพราะปกติสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้นั้น มักเป็นสมุนไพรก้นครัวที่รู้จักกันดี และนำมารับประทานเป็นปกติอยู่แล้ว จึงสรุปได้ว่า กรณีของเจ้าอาวาสเป็นการอบสมุนไพรผิดวิธี
    
       สำหรับวิธีการอบสมุนไพรด้วยตัวเองที่ถูกต้อง นพ.สมชัย อธิบายว่า ต้องเข้าใจหลักการการอบสมุนไพรก่อน นั่นคือ การอาศัยไอหรือควันให้สัมผัสกับร่างกายผ่านทางผิวหนังและการหายใจ ซึ่งวิธีที่ทำให้เกิดไอขึ้นก็คือการต้ม ฉะนั้น สิ่งที่ต้องรู้และระมัดระวังในการอบสมุนไพรคือ 1.สถานที่ในการอบสมุนไพรต้องสามารถช่วยกักเก็บไอหรือควันเอาไว้ได้ อาจจะเป็นตู้หรือกระโจม แต่ที่สำคัญ คือ ต้องมีช่องทางในการระบายควันออกจากตู้หรือกระโจมด้วย
    
       2.อุปกรณ์ที่ใช้ในการต้มสมุนไพรจะต้องไม่มีการจุดไฟ อาทิ เตาถ่าน เพราะการจุดไฟจะทำให้ออกซิเจนภายในตู้ หรือกระโจมลดน้อยลง แต่ควรใช้เตาไฟฟ้าซึ่งมีความปลอดภัยกว่าใช้งานแทน ทั้งนี้ ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของไฟฟ้าช็อตด้วย ส่วนวิธีที่ปลอดภัยที่สุด คือ การตั้งเตาไว้ภายนอกตู้หรือกระโจม แล้วต่อท่อเพื่อส่งควันเข้าไป แต่วิธีการดังกล่าวจะต้องมีการลงทุนสูง
    
       3.ช่วงระยะเวลาในการอบสมุนไพร เนื่องจากการอบสมุนไพรจะต้องมีการสูดไอ หรือควันเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น ต้องมีการปรับร่างกายเสียก่อน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยอบสมุนไพรมาก่อนจะไม่มีความคุ้นชิน ไม่สามารถอบสมุนไพรเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่งหลักเกณฑ์ที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กำหนดไว้คือ ผู้ที่ไม่เคยอบสมุนไพรมาก่อน ไม่ควรอบนานเกินกว่า 5-10 นาที จากนั้นต้องออกจากตู้หรือกระโจมมาพักดื่มน้ำ แล้วจึงกลับเข้าไปอบสมุนไพรต่อ ส่วนผู้ที่มีความคุ้นชินแล้วควรอบประมาณ 15 นาที แล้วพัก แต่ที่สำคัญคือ ห้ามอบสมุนไพรนานเกินกว่า 30 นาที ภายในครั้งเดียว เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
       และ 4.ผู้ที่ไม่ควรอบสมุนไพร ได้แก่ คนที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หอบหืด โรคไต โรคลมชัก และมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
    
       ส่วนกรณีความเชื่อว่าการอบสมุนไพรสามารถช่วยลดความอ้วนได้นั้น นพ.สมชัย กล่าวว่า เป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากระหว่างการอบสมุนไพร ร่างกายจะขับเหงื่อออกมาปริมาณมาก ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ น้ำหนักจึงลดลงไป แต่หลังจากอบเสร็จแล้วใช้ชีวิตตามปกติก็จะกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิม จึงไม่ใช่วิธีในการลดความอ้วนตามที่เชื่อกัน
    
       ฉะนั้น ก่อนการอบสมุนไพรจะต้องเข้าใจหลักการ ศึกษาวิธีการและข้อห้ามต่างๆก่อน เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จึงจะเป็นการอบสมุนไพรที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

การหาสาเหตุจากอาการปวดต่างๆ

การหาสาเหตุจากอาการปวดต่างๆ




 อาการปวด  ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด  ควรได้รับการวินิจฉัย  และรักษาที่ถูกต้อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดเฉียบพลัน  และรุนแรง  เป็นสัญญาณอันตราย  ที่ต้องใส่ใจอย่างทันท่วงทีเพราะถ้ารอช้า  อาจสายเกินกว่าแพทย์จะช่วยได้ทัน
                          สาเหตุการปวด  มีความหลากหลาย  และละเอียดอ่อน  อาจมีปัจจัยร่วมอยู่หลายอย่าง  การวินิจฉัย  และการรักษาจึงต้องมีขั้นตอนอย่างละเอียดอ่อน  และควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้วินิจฉัย
                         อาการปวดทั่วไป  เช่น  ปวดแขน  ปวดในช่องท้อง  ปวดหลัง  ปวดคอ สามารถพบแพทย์เฉพาะระบบ  หรือแพทย์อายุรกรรม  เพื่อรับการวินิจฉัย  และการรักษาเบื้องต้นหากกินยาแก้ปวด  ตามแพทย์สั่ง  หรือพบแพทย์  2  ครั้งแล้ว  อาการยังไม่ทุเลา  ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปวด  หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทเพื่อวินิจฉัยสาเหตุ  ได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น
                     การวินิจฉัยอาการปวดศีรษะ  เป็นความเชี่ยวชาญของแพทย์ระบบประสาทหรืออายุแพทย์ประสาท  ซึ่งได้ศึกษาและให้การรักษาผู้ป่วยโรคนี้จำนวนมาก  แพทย์ก็จะสามารถวินิจฉัยและสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้อย่างถูกต้อง
                          ผู้ป่วยบางรายกินยาแก้ปวด  หรือยาคลายเครียดบางชนิด  ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานมีผลเสียต่อร่างกาย  ในบางกรณีการกินยาแก้ปวดหรือวาระงับประสาท  ก้เป็นอีกหนึ่งสามารถที่ทำให้อาการุนแรงมากขึ้น และมีผลข้างเคียงอื่นๆอีก
                         หากมีอาการดังต่อไปนี้  ควรพบแพทย์ด่วนที่สุดเพื่อรับการวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการให้ถูกต้อง  ปวดศีรษะเฉียบพลัน  ปวดศรีษะร่วมกับอาการดังต่อไปนี้  อาเจียน  มีไข้  คอแข็ง  แขนขาชา  และอ่อนแรง  ตามองไม่เห็น  ผู้ป่วยที่กินยาแก้ปวดมานานกว่า 3 เดือน  แต่อาการไม่ทุเลาหรือหายขาด
                          อาการปวดต่างๆ  หลายคนมองเป็นเรื่องเล็กๆ  เพียงซื้อยาแกปวดตามร้าน  มาทานแล้วก็หาย  แต่ในความเป็นจริงอาจร้ายแรงกว่าที่คิด  โดยเฉพาะกรณีที่มีอาการปวดบ่อยจนเรื้อรัง
                          อาการปวดส่วนใหญ่ของคนไทยเกิดจากการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ  ทั้งการกินอาหาร  และการทำกิจกรรมต่างๆ  ผู้ป่วยที่มีอาการปวดจากการทำงานตอนนี้มีมากขึ้น  และน่าเป็นห่วงหากอนาคตคนไทยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม


วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

การจัดการตำแหน่งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องนอน


การจัดการตำแหน่งเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องนอน

                           ห้องนอนเป็นห้องที่เราใช้เวลาในการนอนหลับผักผ่อน  ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายของเราในการที่จะพักผ่อนได้อย่างสบาย  ดังนั้นแล้วห้องนอนจึงมีความสำคัญในการตกแต่งเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมให้มากที่สุด
  1. ควรที่วางโทรศัพท์ของเราในบริเวรอากาศถ่านเทได้สะดวก  ง่ายต่อการรับสายไม่เกะกะ  พื้นผิวของโต๊ะเรียบ  จะได้ไม่มีฝุ่นละอองไปวะสม  ควรวางทางด้านทิศใต้  ซึ่งจะตรงกับทิศสนามแม่เหล็กโลก
  2. ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในบริเวณมุมห้อง  เพื่อให้มีการกระจายอากาศอย่างทั่วถึง
  3. ควรวางตำแหน่งเครื่องเสียงในพื้นที่ค่อนข้างโล่ง  เพื่อให้เสียงสะท้อนออกได้รอบทิศทาง  และวางลำโพงทั้งสองตัวให้ห่างจากกันประมาณ 2-3 เมตร  เพื่อกันเสียงสะท้อน  หากห้องนอนค่อนข้างเล็ก  ให้วางลำโพงมุมเฉียงกับผนังห้อง  เพื่อให้เสียงกระทบผนังห้อง  และสะท้อนออกไปได้
  4. ควรวางตู้เย็นห่างจากผนังประมาณ  10 เซนติเมตรเพื่อระบายความร้อน  แต่การวางตู้เย็นในห้องนอนที่เปิดเครื่องปรับอากาศก็จะทำให้เครื่องปรับอากศทำงานหนักขึ้นมากโดยไม่จำเป็น

เสาวรส : ลดไขมันในเส้นเลือด


เสาวรส : ลดไขมันในเส้นเลือด

Passiflora laurifolia L.
ชื่อสามัญ : Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla
วงศ์ : Passifloraceae
ชื่ออื่น : สุคนธรส (ภาคกลาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่ ดอก ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก ผล เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง
สรรพคุณ : ลดไขมันในเส้นเลือด
วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_200.htm


วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

อาหารชีวจิต มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

อาหารชีวจิต มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หากคนเราหันมาทานอาหารชีวจิตบ้าง ก็สามารถทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณก็ผ่องใสด้วย…
1. ใช้ดีท็อกซ์ช่วยกำจัดท็อกซิน
เพราะการเป็นสิว ย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีเจ้าท็อกซินหรือพิษเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การทำดีท็อกซ์ ตามหลักชีวจิต เพื่อช่วยขจัดพิษในร่างกาย หลังจากทำดีท็อกซ์เสร็จ ก็เข้าห้องอบไอน้ำหรือ ซาวน่า เพื่อขับพิษออกทางผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง
2. ดื่มน้ำสมุนไพรที่ไม่มีน้ำตาล
เช่น ลูกใต้ใบ มะตูม หรืออื่นๆ ตามตำราอาหารชีวจิต เพราะน้ำจะเป็นตัวพาของเสียสิ่งสกปรกออกไป และจะได้ ประโยชน์จากสมุนไพรแต่ละชนิดอีกด้วย
3. ออกกำลังกายจนเหงื่อออก
ช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี และทำให้ต่อมไขมันเปิดและพาหัวสิวให้ละลายง่าย ไม่เกิดสิว แต่ที่สำคัญ อย่าลืม ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
   4. ทำจิตใจให้สงบ มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใส
ความผ่อนคลายนี้จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง รวมทั้งทำให้เม็ดเลือดขาวใน ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น


สูตรไม่ลับ ลดความอ้วนฉบับชีวจิต

ลดความอ้วนด้วยตัวเอง
     การลดน้ำหนักแบบชีวจิตนั้น นอกจากจะเน้นในเรื่องอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว การทำสมาธิหรือรีแล็กเซซั่นก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ
     
การออกกำลังกาย ทำให้เกิดการเผาผลาญอาหารเร็วขึ้น ร่างกายกระปรี้กระเปร่า สุขภาพแข็งแรง รูปร่างดีขึ้นและที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องเสียเงินไปชื้อยาลดความอ้วน
     การออกกำลังกายให้ได้ผลต้องให้ถึงพีค กล่าวคือ จนเหงื่อโซมกาย รู้สึกเหนื่อย หัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้น 120 ครั้งต่อนาที เมื่อถึงพีค ร่างกายจะได้ยาวิเศษหรือได้รับสารแห่งความสุข นั่นคือเอนดอร์ฟินจะหลั่งออกมา ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งและมีความสุข เพราะฉะนั้นควรจะหาเวลาออกกำลังกายแบบไหนก็ได้ให้ถึงพีค
    
 เทคนิคการออกกำลังกายสำหรับคนอ้วน

  • พยายามออกกำลังกายด้วยวิธีไหนก็ได้วันละ 30 นาที
  • พยายามเดินให้มากขึ้น เพราะการเดินเป็นการเริ่มต้นออกกำลังกายที่ดี
  • เพิ่มการเคลื่อนไหวออกแรงในชีวิตประจำวัน เช่น เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์หรือบันไดเลื่อน
  • หลังจากเริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการเดินแล้ว ให้ออกกำลังกายที่เป็นแบบแผนมากขึ้น เช่น รำกระบอง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือวิ่ง
  • เลือกออกกำลังกายตามที่สนใจ เช่น รำกระบอง ว่ายน้ำ ตีเทนนิส ตีปิงปอง วิ่ง ฯลฯ
  • ควรออกกำลังกายขณะที่ร่างกายพร้อมเท่านั้น และทำอย่างต่อเนื่องให้เป็นกิจวัตร

     รีแล็กเซชั่น (Relaxation) นอกจากจะมีปัญหาด้านสุขภาพกายแล้ว คนอ้วนยังมีเรื่องความเครียดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การลดน้ำหนักแบบชีวจิตจึงนำการทำสมาธิเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการลดความอ้วนด้วย โดยจะเน้นในเรื่องของสมอง ด้วยการฝึกร่างกายให้ผ่อนคลาย เพื่อให้การหมุนเวียนของเลือดในร่างกายและสมองดีขึ้น นอกจากนั้นจิตใจที่แน่วแน่จะสามารถติดต่อกับสมองส่วนกลางได้ แล้วจะสามารถบังคับส่วนที่เป็นนิสัยเกี่ยวกับเรื่องกินได้

กิน...ลดอ้วน
     ในแต่ละวันกองบรรณาธิการนิตยสารชีวจิตได้รับคำถามเข้ามาเยอะเหลือเกินค่ะ ว่าสูตรลดความอ้วนแบบชีวจิตนั้นมีอะไรบ้าง บรรทัดต่อไปนี้เรามีคำตอบมาไขข้อข้องใจแล้วค่ะ
     แต่ก่อนที่จะไปพบกับสูตรอาหารลดความอ้วนฉบับชีวจิต เรามีคำแนะนำการฝึกวินัยในการกินอาหารที่ถูกวิธีมาฝากหากทำได้ รับรองว่าไม่อ้วนแน่นอนค่ะ
    


เทคนิคในการกินให้น้อยลง
  • จำกัดตัวเองในการออกไปกินเลี้ยงนอกบ้าน
  • ไม่ชื้ออาหารตุนไว้เต็มตู้
  • ไม่วางของกินล่อตาล่อใจให้แวะเวียนไปหยิบกิน
  • ตักอาหารครั้งละน้อยๆ เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องเติมข้าวอีกเพราะกับข้าวเหลือ
  • ฝึกเคี้ยวอาหารช้าๆ จะช่วยให้อาหารละเอียดและกินได้น้อยลง
  • พยายามท่องให้ขึ้นใจว่า อาหารที่กินมากไปจะเข้าไปบูดเน่าอยู่ในท้องเรา สะสมเป็นไขมัน ต้องรู้จักกินให้พออิ่มไม่ใช่อด แต่กินอย่างรู้ทันและมีคุณภาพ
     กินอาหารให้สมดุล
     กินให้หลากหลายและในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น ไม่กินผักผลไม้ชนิดใดชนิดเดียว แต่ควรจะกินให้หลากหลายประเภทเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน
    
 ลดอาหารให้ถูกวิธี
     การกินอาหารแบบอดมื้อกินมื้ออาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ทำให้ร่างกายรู้สึกโหย ส่งผลให้การกินอาหารในมื้อถัดไปเพิ่มมากกว่าปกติ ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะครบคุณค่าทางโภชนาการ ร่างกายจะเกิดความสมดุล อิ่มพอดี ไม่กระวนกระวายหาอะไรกินอีก
     ทฤษฎีแมคโครไบโอติกส์ระบุว่า คนที่กินแล้วยังอยากโน่นอยากนี่ แปลว่าอาหารที่กินเข้าไปไม่มีสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการ
     การลดน้ำหนักโดยการกินอาหารน้อยๆ จะทำให้เกิดอาการเฉื่อยชา บางคนชอบแอบงีบกลางวัน มีอาการหาวเสมอๆ มักไม่ชอบเดินทางไปไหน ชอบนั่งโต๊ะอยู่กับที่มากกว่า นั่นเป็นเพราะร่างกายจะไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง การควบคุมอาหารจะทำให้การเผาผลาญอาการในร่างกายลดลง ซึ่งผลก็คือทำให้เป็นการยากที่จะลดน้ำหนักลงได้

สูตรไม่ลับ ไดเอ็ทฉบับชีวจิต
     สืบเนื่องมาจากอาจารย์สาทิสได้คิดค้นสูตรอาหารลดความอ้วนแบบชีวจิต และได้ทดลองกับเหล่าคนอ้วนที่เคยไปเข้าคอร์สอุดมสมบูรณ์ที่เชียงใหม่ โดยมี คุณอาฉินโฉม อินทรกำแหง รับอาสาเป็นแม่ครัวกิตติมศักดิ์ ปรุงอาหารชีวจิตรสเลิศให้กิน  ปรากฏว่ามีคนอ้วนที่สามารถลดน้ำหนักเพราะสูตรอาหารดังกล่าวกว่า 5 - 6 กิโลหรัม บางคนน้ำหนักลดลงภายในเวลาไม่กี่วันกว่า 10 กิโลกรัม
     สูตรอาหารลดความอ้วนส่วนใหญ่ดัดแปลงมาจากอาหารชีวจิตที่มีอยู่เดิม แต่ลดปริมาณในการกินตามสัดส่วนที่เหมาะสม โดยอาจารย์สาทิสกล่าวว่า อาหารลดความอ้วนแบบชีวจิตขนานแท้จะมีอยู่ 2 สูตรให้เลือกกินและเลือกปฏิบัติให้เหมาะกับตนเอง ลองมาดูกันเลยค่ะว่าเป็นอย่างไร
     
สูตร 1 สำหรับคนที่อยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ไม่เน้นเรื่องความสวยงาม ควรทำตามอาหารสูตรนี้เหมาะที่สุดค่ะ ซึ่งประกอบไปด้วย
  • อาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
  • ผัดสดหรือผักสุก ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
  • โปรตีนจากพืชจำพวกถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และผลผลิตจากพืช เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
  • เบ็ดเตล็ด เช่น สาหร่ายทะเล เมล็ดพืชกินเล่นจำพวกเมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง รวมทั้งผลไม้ต่างๆ ที่มีรสไม่หวาน เช่น มะละกอ สับปะรด ฝรั่ง มะม่วงดิบ ส้มเขียวหวาน ส้มโอ นอกจากนี้ยังมีจำพวกซุปฟักทอง มิโซซุป มื้อละถ้วยเล็กๆ แกงจืดหรือแกงเลียง ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์
     สูตรที่ 2 เหมาะสำหรับคนที่อยากจะมีรูปร่างสวยงามสมส่วน คนที่เป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวานก็สามารถใช้สูตรนี้ได้เช่นกัน โดยมีสัดส่วนของอาหารดังนี้
  • อาหารจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
  • ผักสดหรือผักสุก ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
  • โปรตีนจากพืชจำพวกถั่วต่างๆ เช่น ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และผลผลิตจากพืช เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
  • เบ็ดเตล็ด เช่น สาหร่ายทะเล เมล็ดพืชกินเล่นจำพวกเมล็ดทานตะวั้น เมล็ดฟักทอง รวมทั้งผลไม้รสไม่หวานต่างๆ เช่น มะละกอ สับปะรด ฝรั่ง มะม่วงดิบ ส้มเขียวหงาน ส้มโอ นอกจากนี้ยังมีจำพวกซุปฟักทอง มิโซซุปมื้อละถ้วยเล็กๆ แกงจือหรือแกงเลียง ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ต่อมื้อ
     และคุณอาฉินโฉมยังมีเมนูอาหารในแต่ละมื้อมาฝากกันดังต่อไปนี้ค่ะ
  • มื้อเช้า ได้แก่ จำพวกข้าวต้มอาร์.ซี. หรือข้าวต้มข้าวกล้อง ปลาตัวเล็กทอด ต้มจับฉ่าย ยำเห็ดรวมมิตร คะน้าปลาเค็ม
  • มื้อกลางวัน ได้แก่ ข้าวสวยกล้อง ผัดผัก น้ำพริกหรือลาบปลาทูน่า และผักสดผักต้มสำหรับจิ้มน้ำพริก พยายามหาเมนูที่ทำให้ได้กินผักเยอะ เพราะจำทำให้ระบบขับถ่ายคล่อง
  • มื้อค่ำ ควรเป็นอาหารเบาๆ ย่อยง่าย จำพวกซุปฟักทอง มิโซซุป เป็นต้น เพราะมื้อค่ำไม่ควรกินเมนูหนักเกินไป
     หากรู้สึกหิวในช่วงกลางคืนหรือช่วงก่อนเข้านอน ให้กินกล้วยน้ำว้าทดแทนประมาณ 1-2 ลูก เพราะในกล้วยน้ำว้ามีสารไฟเบอร์ที่สามารถละลายเคลือบผิวกระเพาะอาหาร ทำปฏิกิริยากับกรดทำให้เกิดสารเจลาตินทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน ความอยากอาหารก็จะลดลง
     จะอ้วนหรือผอมไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรง อารมณ์แจ่มใส และมีความสุขกับการใช้ชีวิต เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
     อย่างไรก็ตาม การลดความอ้วนแบบชีวจิตนั้น เรื่องสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ต้องมาก่อน ส่วนเรื่องของความสวยงามเป็นเรื่องของผลพลอยได้ค่ะ











ข้อมูลอ้างอิง
  1. อาหารชีวจิต ตำรับ ดร.สาทิส-ฉินโฉม อินทรกำแหง
  2. นิตยสาร NATIONNAL GEOGRAPHIC ฉบับภาษาไทย เดือนสิงหาคม 2547
ขอบคุณข้อมูลจาก : นิตยสารชีวจิต


วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

กินโยเกิร์ต-นมเปรี้ยวอย่างไร? ได้ประโยชน์


กินโยเกิร์ต-นมเปรี้ยวอย่างไร? ได้ประโยชน์  

     
คลับสุขภาพศุกร์นี้มาเติมสิ่งดีๆ ให้กับกระเพาะอาหารและสำไส้ หลายคนอาจทราบว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เป็นอาหารอีกชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่ที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น ไม่ใช่ทุกชนิดที่ทานแล้วได้ประโยชน์จริงๆ

โยเกิร์ต (Yoghurt) และนมเปรี้ยว (Drinking yoghurt) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนมสด หรือนมพร่องมันเนย โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส และสเตรปโตคอคคัส เป็นหลัก ใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ จากนั้นแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค จนมีภาวะกรด และมีรสเปรี้ยว โดยความเป็นกรด-ด่าง อยู่ระหว่าง 3.8-4.6 หลังนำแบคทีเรียข้างต้นไปหมักกับนมก็จะได้เป็นนมเปรี้ยว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดแรกเป็น ‘นมเปรี้ยว’ ที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม อีกชนิดหนึ่งเป็นนมเปรี้ยว ที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า ‘โยเกิร์ต’ นั่นเองค่ะ

โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดอาหารมีประโยชน์ที่ผลิตจากนมโค อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ มีสารอาหารครบถ้วนเทียบเท่ากับนมโคสด และในบางตำรายังกล่าวว่า ให้คุณค่าทางโภชนาการดีกว่านมสด เช่น โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ดีกว่า เพราะย่อยสลายได้ง่ายกว่า

สำหรับโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราคุ้นเคยกันอยู่นั้น อาจไม่ใช่โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่กำลังจะกล่าวถึง เพราะจุดประสงค์ของการทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ถูกต้อง คือ ทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก (ประมาณหมื่นล้านตัวต่อกรัม) เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ

ส่วนโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่เราซื้อหากันในท้องตลาด ส่วนใหญ่ทำขึ้นโดยการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้วยซ้ำ เพราะนำไปฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูงและนำมาบรรจุกล่อง ซึ่งแท้ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวมากกว่านะคะ แถมบางชนิดใส่น้ำตาลมากไปจนน่าสงสัยว่าจะได้ประโยชน์จากโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจริงๆ หรือไม่ และบางชนิดมีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลือจนอยู่น้อยมาก

ดังนั้นโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ดี ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน กลิ่น รสสังเคราะห์ เพราะทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวรสธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อยกันค่ะ

มาดูกันต่อนะคะว่า โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวส่งผลดีต่อร่างกายอย่างไร...

1.โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม ที่ชื่อ เคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและโปรตีนเคซีน

2.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ โดยกรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกาย เช่น เชื้อซัลโมเนลา, อี โคไล, โคลินแบคทีเรีย ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราจึงควรทานโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

3.เป็นแหล่งวิตามินบี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวยังช่วยสังเคราะห์วิตามินบี และวิตามินเค ในลำไส้

4.ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะอาหาร จากการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้ทานโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว

5.ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6.เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะมีโปรตีนมากกว่าในนม ร้อยละ20 และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปได้ดี

7.ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เพราะแลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8.ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยแลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง ทั้งยังสามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคงต้องรีบไปหาโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว ที่มีคุณสมบัติดีๆ มาติดตู้เย็นกันแล้วใช่ไหมคะ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน เพื่อร่างกายของเรา และคนที่เรารักให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงกันเถอะค่ะ อย่าลืมค่ะว่า You are what you eat เลือกทานอะไรดีๆ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรงกันนะคะ.

"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy
อ้างอิงบางส่วนจาก www.goodhealth.co.th
 
แหล่งที่มา :   เดลินิวส์ออนไลน์

เซซามิน งาสกัดล้างพิษตับ อาหารบำรุงตับ – บ่อบำบัดของเสียร่างกาย


เซซามิน งาสกัดล้างพิษตับ อาหารบำรุงตับ – บ่อบำบัดของเสียร่างกาย


                จากสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมลภาวะในสิ่งแวดล้อม  สิ่งปนเปื้อนและสารเคมีที่ตกค้างในอาหาร  ทำหร่างกายเราเป็นแหล่งสะสมสารพิษ  เพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกายเราเป้นแหล่งสะสมสารพิษ  เพื่อกำจัดของเสียออกจากร่างกาย  จึงมีผู้นิยมล้างพิษแก่ร่างกาย  ไม่ว่าจะเป็นการกิน  การอด  สวนลำไส้ฝึกลมปราณ  ฝึกสมาธิ  เป็นต้น
                คุณทราบหรือไม่ว่า “งา”  ที่เรานำมาทำอาหารและขนมต่างๆ  นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ  เพราะมีสารอาหารเกือบครบถ้วนแล้ว  งายังมีประโยชน์ต่อการล้างพิษด้วยเหมือนกัน  ทั้งนี้  ก้เพราะวาเป็นอาหารบำรุงตับที่ถือเป็นบ่อบำบัดของเสียออกจากร่างกาย
                โดยปรกติร่างกายของเรามีการกำจัดของเสียออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ  ลมหายใจออก  เหงื่อและอุจจาระอยู่แล้ว  โดยมีตับเป็นตัวทำลายพิษ  และตระเตรียมการจัดส่งสารพิษออกจากร่างกาย  ทั้งนี้  ตับจะกำจัดของเสียผ่านทางเลือดแดงที่ออกทางหัวใจ  ซึ่งทุกครั้งที่หัวใจบีบตัวจะมีการส่งผ่านเลือดจำนวน 1 ใน 4 ผ่านตับ  เพื่อทำการกรองและกำจัดสารพิษที่ปมมากับอาหาร  ก่อนจะถูกส่งไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกาย
                “งา”  มีสารสำคัญที่ช่วยบำรุงตับคือ  “เซซามิน”  โดยการวิจัยล่าสุดพบว่าเซซามินที่ได้จากการสกัดงามีฤทธิ์ช่วยบำรุงตับ  โดยการวิจัยให้หนูกินอาหารที่มีเซซามินผสมอยู่  พอว่าเซซามินมีฤทธิ์ปกป้องตับจากการถูกทำลายโดยเอทิลแอลดฮอล์  ซึ่งสามารถวัดได้จากการถูกทำลายโดยเอทิลแอลกอฮอล์  ซึ่งสามารถวัดไว้ได้จากรดับสารเคมีในเลือด  และจากการทดสอบฤทธิ์ในการปกป้องตับจากการถูกทำลายด้วยคาร์บอนเต้ตร้าคลอไรค์  (สารเคมีที่เป็นพิษและอาจทำให้เกิดมะเร็งที่ตับ)  และป้องกันด้วยเสื่อมสภาพของเส้นเลือดในตัวได้อีกด้วย
                ไม่เพียงเท่านั้นในแต่ละเมล็ดเล็กๆ  ของงายังมีสารอาหารสำคัญๆ  เต็มไปหมด  ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน  ไขมัน  วิตามิน  และแร่ธาตุมากมาย  เช่น  วิตามินบี 6 ธาตุเหล็ก  ไอโอดีน  สังกะสี  ทองแดง  แคลเซียม  ฟอสฟอรัส  โพแทสเซียม  และใยอาหารดังนั้น  การรับประทานงาเป็นประจำเป็นต้องเคี้ยวเมล็ดงาให้ละเอียด  แต่หากไม่สะดวกอาจเสริมด้วยการรับประทานเซซามินที่ได้จากการสกัดงาซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะได้เซซามินง่ายขึ้น
                แม้เราไม่สามารถหลีดเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดสารพิษจากการรับประทานอาหารหรือแม้การรับประทายยา  การผักผ่อนไม่เพียงพอ  รวมทั้งการเจ็บป่วยต่างๆ  เพราะเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งทำให้ตับทำงานหนักขึ้น  ร่างกายมีสารพิษตกค้างจนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามา
                ถึงเวลาแล้วที่ต้องช่วยตับขจัดสารโดยการเติมคุณค่าดีๆ  ที่มีในงาอย่างเซซามินให้กับสุขภาพของเรา
วิธีเพิ่มคุณค่าดีๆ  จากเซซามิน
                1. ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมงาดำนอกจากจะช่วยล้างพิษแล้วยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายอีกด้วย
                2. รับประทานสลัดผักสด  น้ำสลัดครีมงาดำ
                3. ข้าวกล้องข้าวต้มหรือข้าวกล้องต้มหรือข้าวกล้องข้าวผัดโรยงาดำหรืองาขาว
                4. เวลารับประทานซุปผักหรือซุปกระเทียม  ให้โรยงาบดลงไปด้วย
                5. ทำสมูทตี้หรือน้ำผลไม้ผสมโยเกิร์ต  ให้ใส่งาบลงไปด้วย
                6. ดื่มน้ำเต้าหู้ใส่งาดำหรือน้ำงาดำไม่หวานแทนการดื่มน้ำหวานหรือน้ำอัดลม ฯลฯ
                แต่วิธีการทางธรรมชาติที่ดีที่สุดที่คุณสามารถจะล้างพิษให้กับตนเองได้ทุกวันก็คือ  การรู้จัดเลือกอาหารที่ไม่เป็นพิษหรือทำลายสุขภาพเช่น  เลือกกินอาหารให่หลายกลายครบ 5 หมู่  ปริมาณเหมาะสม  ไม่กินอาหารที่มีน้ำตาล  แป้ง  เกลือ  และไขมันมากเกิดความจำเป็น  รู้จักเลือกอาหารที่เป็นแหล่งใยอาหาร  วิตามิน  และเกลือแร่  เช่น  ผัก  ผลไม้สด  และต้องพิถ๊พิถันในการเลือกซื้อ  ไม่เลือกเฉพาะให้สารเคมี  ควรล้างผ่านน้ำไหล  อีกอย่างต้องหลีกเลี่ยงสิ่งทำลายสุขภาพ  ได้แก่  ได้แก่แอลกอฮอล์  บุหรี่  และกาแฟอีน  และ  ต้องไม่ลืมเสริมความแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย
                ที่มา : นิตยสารเคล็กลับการกิน  เพื่อชีวิตที่ดีกว่า

กินอะไรดีที่ช่วยให้สดชื่นได้ 100%


กินอะไรดีที่ช่วยให้สดชื่นได้ 100%


            น้ำดื่ม  ปัจจัยหลักของการดำรงชัวิตที่เดียว  การดื่มน้ำมาก  จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น  โดยเฉพาะเวลาหน้าร้อน  
การดื่มน้ำบ่อยกว่าเดิมจะช่วยได้มาก  เพราะร่างกายเดิมจะช่วยได้มาก  เพราะร่างกายจะขาดน้ำง่าย
กว่าปกติ  
ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่มีรสชาติอย่างน้ำผลไม้  หรือน้ำโซดากลิ่นผลไม้ก็จะช่วยได้มาก  น้ำตาลที่อยู่ในน้ำจะช่วยทำให้
เรามีพลังงานสดชื่นขึ้น  ส่วนพวกน้ำแร่ก็ดีเช่นกัน
                เครื่องดื่มหลังออกกำลังกาย หรือ Sports  drinks  เครื่องประเภทนี้นอกจากจะให้น้ำและพลังงานแล้ว 
 ยังช่วยป้องกันการขาด  น้ำของร่างกายด้วย  และคาร์โบไฮเดรตจะให้พลังงาน  มีเครื่องดื่มบางแบบที่มีโปรตีนรวม
อยู่ด้วยเล้กน้อย  ซึ่งก็จะช่วยให้พลังงานเช่นกัน  รวมทั้งทำให้หายเหนื่อยจากการออกกำลังกายได้เร็วขึ้นอีกด้วย
                แตงโม  เห็นเนื้อสีแดงๆ  ฉ่ำๆ  อย่างนี้  บอกไว้ได้เลยว่ามีน้ำและน้ำตาลเยอะ  เหมาะสำหรับไว้ทาน
หน้าร้อนที่สุด  ยิ่งเวลาเอาไปแช่ในตู้เย็นมันให้เย็นเจี๊ยบ  เอามากินตอนร้อนๆ  หวานอร่อยอย่าบอกใคร  คนญี่ปุ่นจะ
ชอบกินแตงโมมากๆในช่วงหน้าร้อน  ในแตงโมมีปริมาณน้ำกว่า 90% แถมยังมีสารที่ช่วยป้องกันโนคมะเณ้งได้อีกด้วย
                ชาเย็น  เป็นอีกเครื่องดื่มหนึ่งที่ช่วยให้สดชื่นได้  แต่อย่าดื่มเยอะไปเพราะชามีคาเฟอีนอยู่ด้วย  ถ้าดื่ม
เกิน6 แก้วต่อวัน  จะทำให้ร่างกายเกิดอาการขาดน้ำได้  ดังนั้น  ควรดื่มแต่แก้วสองแก้วพอแล้ว
                แตงกวา  นี่สุดยอดผักที่มีน้ำเยอะมาก  มากกว่าแตงโมเสียอีก  คือมีน้ำอยู่ประมาณ 96 % แถมยังไม่มี
แคลรี่อีกต่างหาก  ถึงแม้ว่า  แตงกวาอาจจะไม่ใช่ผักที่มีสารอุดมมากที่สุด  แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีน้ำอยู่มาก  และ
มีวิตามินต่างๆ  อีกด้วย  เอามาใส่สลัดกินเย็นๆ  แก้ร้อน  อร่อยแถมได้ประดยชน์อีกด้วย
กินผักผลไม้เป็นขนมขบเคี้ยวกีกว่า
                สำหรับคนที่ไม่สามารถเลิกนิสัยกินจุบกินจิบได้  ไม่ต้องห่วง  เรามีวิธีมาช่วยแล้ว  ลองหันมากินพวก
ผักผลไม้แทนที่จะกินมันฝลั่งทอด  เกี๊ยวทอด  คุกกี้  หรือเค้กต่างๆ เวลาออกไปกินข้าวกลางวัน  ก็ซื้อผลไม้กลับมาที่กิน
ที่โต๊ะด้วย  แทนการซื้อก็เปลี่ยนมาเป็นผลไม้ด้วย  ถ้าอยากกินไอศกรีมจริงๆ  ลองหาไอศกรีมแคลลรี่ต่ำที่ทำจาก
ผลไม้จริง  ถ้าสาวคนไหนชอบกินไอศกรีมแท่งมาก  โดยการเอาองุ่นไปแช่แข็งไว้รับรองเหมือนไอศกรีมเลย
อาหารช่วยทำให้ร่างกายฟิต
                ต้องทางอาหารช่วยด้วย  อาหารที่ช่วยให้ร่างกายฟิตและสร้างกล้ามเนื้อนั้น  เช่น  ถั่วแดง  เนื้อวัว 
(แบบออร์แกนิค)  บาร์บีคิวไก่  ไข่  และโยเกร์ตสด  ของเหล่านี้มีสารอาหารอย่างเช่น  โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต  
เพื่อที่จะช่วยให้ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อ  ส่วนในโยเกิร์ตและไข่ก็จะมีแคลเวียมที่เสริมสร้างกระดุกอีกด้วย  ทำให้ร่างกาย
ของคุณเฟิร์ม  ใส่บิกินี่ได้ไม่อายใคร
                 ที่มา : นิตยสาร เคล็ดลับการกินเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

สวยใสด้วย...น้ำเต้าหู้


สวยใสด้วย...น้ำเต้าหู้

น้ำเต้าหู้ อาหารยอดนิยมที่ดื่มกันมาตังแต่อดีต จนเดี๋ยวนี้มองไปทางไหนก็ยังคงเห็นน้ำเต้าหู้อยู่ทั่วทุกระแหง ยิ่งเดี๋ยวนี้กระแสอาหารเพื่อสุขภาพกำลังอิน ทำให้ใครหลายคน ต่างหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น น้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
ผู้ใหญ่มักบอกให้ดื่มน้ำเต้าหู้กันเยอะ ๆ เพื่อที่จะได้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูสดใส อ่อนเยาว์เสมอ จะจริงหรือไม่ เรามาถอดรหัสความงามไปด้วยกันเลยดีกว่า

ในน้ำเต้าหู้มีอะไร
น้ำเต้าหู้นั้นหรือนมถั่วเหลืองนั้นเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมไปถึงสารอาหารที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ ,บี ,บี 1 ,บี 2 ,บี 6 ,บี 12 ,ไนอาซิน ,เลซิทิน ซึ่งตัวหลังสุดช่วยในการบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ นอกจากนี้สารอาหารที่อยู่ในนมถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันและคอเลสเทอรอลในร่างกายเราได้อีกด้วย

น้ำเต้าหู้กับสุขภาพ
นมถั่วเหลืองให้พลังงานได้มากพอ ๆ กับนมวัว แม้ปริมาณโปรตีน วิตามินและเกลือแร่อื่น ๆ อาจได้ไม่เท่ากับนมวัว แต่ข้อดีที่สำคัญคือ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เพราะ ไขมันในนมถั่วเหลือง เป็นไขมันไม่อิ่มตัวมีมากถึง 63% ไขมันอิ่มตัว 15 % ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยวอีก 24 % และยังมี linoleic acid กรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย นอกเหนือจากคุณค่าในแง่ของพลังงานแล้ว ในนมถั่วเหลืองยังมีสารอาหารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอี ที่มีในปริมาณที่สูง วิตามินอี มีส่วนสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย ...เพราะฉะนั้น ถ้าใครทานนมถั่วเหลืองมาก ๆ ก็มีสิทธิแก่ช้า แถมยังได้ผิวพรรณที่สดใสอยู่กับเราไปนาน ๆ ด้วย
ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้ ไม่ได้มีเพียงแค่ทำให้ผิวพรรณ สดใส เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์ หรือทำให้แก่ช้าเท่านั้น แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แฝงมากับวิตามินในนมถั่วเหลือง ยังช่วยป้องการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ และริดสีดวงด้วย

ข้อจำกัดของน้ำเต้าหู้
ข้อจำกัดนี้ไม่ได้เป็นการกำจัดปริมาณการทาน แต่เป็นข้อจำกัดที่มีอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติของสารอาหารที่มาจากพืชย่อมมีปริมาณที่น้อย แต่เราสามารถทานให้มากและทานให้หลากหลายชนิดได้ นมถั่วเหลืองก็เช่นกัน เนื่องจากมีปริมาณแคลเซียมน้อย จึงจำเป็นต้องรับประทานควบคู่ไปกับอาหารชนิดอื่น ๆ ด้วย เช่น ปลาทอดกรอบที่ทานได้ทั้งกระดูก ผักใบเขียวอื่น ๆ อย่างคะน้า ขึ้นฉ่าย กวางตุ้ง นอกจากนี้เราสามารถทานน้ำเต้าหู้ร่วมกับธัญพืชอื่น ๆ อย่างลูกเดือย สาคู หรือถั่วแดง จะทำให้ได้รับสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้น

น้ำเต้าหู้กับผู้หญิง
น้ำเต้าหู้ดีกับสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง หากมีการรับประทานน้ำเต้าหู้อยู่เสมอจะช่วยลดอาการต่าง ๆ ของหญิงวัยหมดประจำเดือนไม่ว่าจะเป็นร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง ไขมันสูง อารมณ์ไม่ปกติ ในน้ำเต้าหู้จะมีสารเคมีสำคัญตัวหนึ่ง คือ ไอโซฟลาโวน ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ประโยชน์ของสารตัวนี้สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนคุณผู้หญิงที่ไม่อยู่ในช่วงวัยทองก็ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เพราะจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงให้สมดุลได้เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิด

เห็นคุณประโยชน์ของน้ำเต้าหู้ที่มีมากขนาดนี้ ไม่หามาทานคงไม่ได้แล้วหล่ะ และช่วงนี้อยู่ในช่วงเทศกาลกินเจ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองนี่แหละค่ะ
อย่าลืม สุขภาพดีได้ เริ่มต้นที่ตัวคุณ
ที่มา Never-age

ล้างพิษให้ร่าง (กาย) ปิ๊ง


ล้างพิษให้ร่าง (กาย) ปิ๊ง

ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมาเราไปกี่ปาร์ตี้แล้วสาวๆ ขา ทั้งงานเล็กใหญ่ๆ ระดับบริษัทและเล็กๆ ยิบๆ ย่อยๆ กับเพื่อนกลุ่มนั้นกับพี่กลุ่มนี้ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้กับปาร์ตี้ในวัยเรานั่นก็คือ 2 อ. อาหารและแอลกอฮอล์นั่นเอง ซึ่งก็แน่นอนว่านานทีปีหนแบบนี้ ใครๆ ก็จัดเต็มกันทั้งนั้น นั่นล่ะค่ะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราต้องล้างพิษกันบ้างอะไรบ้าง ช่วงนี้งานปาร์ตี้ก็ซาลงแล้ว แถมยังจะมีเดทวันวาเลนไทน์ที่ทุกคนต้องสวยเป๊ะรออยู่อีก เพราะฉะนั้นเรามาดูแลตัวเอง และใส่ใจกับร่างกายของเรากันเถอะค่ะ

Detox

Detox คืออะไร
พูดเรื่อง Detox หลายคนจะคิดว่าเอาของเก่ามาขาย แต่สาวๆ ขา Detox ที่รู้ๆ กันมาน่ะ มันถูกต้องแล้วหรือ? เรามีข้อมูลแน่ๆ มาชี้แจงแถลงไขกัน การล้างพิษหรือ Detox นั้นย่อมาจากคำว่า Detoxification หมายถึง กระบวนการในการล้างสารพิษ (Toxin) ออกจากร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ เพราะกว่า 90% ของโรคเกิดจากการสะสมพิษในลำไส้ใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า การสะสมพิษ เช่น อุจจาระตกค้าง ตะกรัน(Chronic dunk) ที่ลำไส้ใหญ่ หรือ อาการท้องผูก เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายเราอ่อนแอและเกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ง่ายเนื่องจากลำไส้เป็นอวัยวะที่ร่างกายเราไม่สามารถมองเห็นได้ จึงถูกละเลยในการดูแลนั่นเอง
สัญญาณร้าย อยากให้ร่างกายขับพิษ
โดยปกติแล้วถ้าภายในร่างกายของเรามีของเสียและสารพิษสะสมในปริมาณที่เป็นอันตรายถึงขั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ ร่างกายย่อมจะส่งสัญญาณเตือนออกมาให้เราได้รับทราบว่ามันกำลังต้องการความช่วยเหลือและความเอาใจใส่จากเราให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้วนะจ๊ะ ซึ่งมีข้อสังเกตดังต่อไปนี้
• นอนหลับยาก หรือรู้สึกว่านอนไม่พอร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เซื่องซึม หดหู่ไม่กระปรี้กระเปร่า
• ปวดศีรษะ มึนงงบ่อยๆ หรืออาจปวดถึงขั้นเป็นไมเกรนอารมณ์แปรปรวนง่าย ประสาทตึงเครียด ขี้ลืม สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดอะไรไม่ค่อยออก
• ผิวหมองคล้ำ เกิดริ้วรอยง่าย ผิวแห้งและหยาบกร้าน ดูแก่กว่าวัย มีสิวและผดผื่นขึ้น
• มีกลิ่นปาก หรือมีแผลในช่องปากลมหายใจมีกลิ่นเหม็น
• จุกเสียด แน่นท้อง ปวดท้องเป็นประจำ เนื่องจากระบบการย่อยอาหารมีปัญหา มักเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ระบบขับถ่ายมีปัญหา ท้องผูกเป็นประจำ หรือท้องเสียง่าย เป็นริดสีดวงทวาร
• เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ใครเข้าข่ายมีอาการร้ายๆ ดังข้างต้น ก็ถึงเวลาแล้วนะคะที่จะลด ละ เลิด และหันกลับมาใส่ใจ Detoxร่างกายให้กลับมาปิ๊งกันดีกว่าค่ะ